ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันจากโรงพยาบาลและผู้ผลิตยาสามัญในสหรัฐฯ ให้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าทางการแพทย์จากจีน หลังจากที่กลุ่มบริษัทยาขนาดใหญ่ได้ออกมาเตือนก่อนหน้านี้แล้วว่า การตั้งกำแพงภาษีจะส่งผลให้ยาขาดแคลนและราคายาพุ่งสูงขึ้นในสหรัฐฯ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกรายการจากจีน 10% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (4 ก.พ.) ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีแบบเฉพาะเจาะเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ประกาศระงับแผนเก็บภาษีสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน หลังจากได้หารือกับผู้นำทั้งสองประเทศ พร้อมประกาศว่าจะเก็บภาษีจากสหภาพยุโรป (EU) เป็นรายต่อไป
สมาคมโรงพยาบาลอเมริกัน (AHA) ระบุในจดหมายที่ส่งถึงปธน.ทรัมป์ว่า มาตรการภาษีนำเข้าดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อยารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ รวมถึงยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน ที่นำเข้าจากจีน
ข้อมูลของสมาคมฯ ซึ่งเป็นตัวแทนของโรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขในสหรัฐฯ เกือบ 5,000 แห่ง ระบุว่า เกือบ 30% ของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยาจำเป็นนำเข้าจากจีน ขณะที่หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งประมาณ 1 ใน 3 และถุงมือพลาสติกเกือบทั้งหมดที่ใช้ในภาคสาธารณสุขก็มาจากจีนเช่นกัน
“แม้จะมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ แต่ระบบสาธารณสุขของสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาแหล่งผลิตจากต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ” สมาคมฯ ระบุในจดหมาย
ทั้งนี้ ทำเนียบขาวยังไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ ต่อกรณีนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.พ. 68)
Tags: ภาษีนำเข้าสินค้า, สินค้าทางการแพทย์, โดนัลด์ ทรัมป์