นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 13 ในเดือนธ.ค.64 ภายใต้หัวข้อ “พร้อมหรือไม่? กับเป้าหมาย Net Zero” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. เห็นด้วยกับเป้า
หมายของประเทศไทยในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608)
ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่าการปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และการจัดหาพลังงานสะอาดให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล จะเป็นประเด็นท้าทายของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ซึ่งภาคอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัวเพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ภายใต้ระเบียบวิธีการที่มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศ เพื่อให้เกิดการใช้กลไกตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 160 คน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 13 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
1.ภาคอุตสาหกรรมมีความเห็นอย่างไรกับเป้าหมายของประเทศ ในการเป็น Carbon Neutrality ภายในปี
2050 (พ.ศ. 2593) และ Net Zero ภายในปี 2065 (พ.ศ. 2608)
อันดับที่ 1 | เห็นด้วย | 70.7% |
อันดับที่ 2 | ควรขยายเป้าหมายออกไปอีก 5 – 10 ปี | 16.2% |
อันดับที่ 3 | ควรปรับเป้าหมายให้เร็วขึ้น | 13.1% |
2.ภาคอุตสาหกรรมมีความพร้อมในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตหรือไม่ เพื่อสนับสนุนการมุ่งสู่ Carbon Neutrality
อันดับที่ 1 | อยู่ระหว่างศึกษา | 72.5% |
อันดับที่ 2 | มีความพร้อมดำเนินการได้ทันที | 17.5% |
อันดับที่ 3 | ยังไม่มีความพร้อม | 10.0% |
3.ปัจจัยใดจะช่วยส่งเสริมให้กลไกตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต และแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อสนับสนุนการเป็น Carbon Neutrality
อันดับที่ 1 | ระเบียบวิธีการที่มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศและไม่ซับซ้อน | 73.1% |
อันดับที่ 2 | มาตรการหรือสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต | 72.5% |
อันดับที่ 3 | การพัฒนากลไกตลาดและมาตรฐานการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของไทยให้เป็นที่ยอมรับ | 68.1% |
อันดับที่ 4 | ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอยู่ในระดับที่เหมาะสม | 66.9% |
4.ประเด็นท้าทายของไทยในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero
อันดับที่ 1 | การปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และการจัดหา พลังงานสะอาดให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล | 75.0% |
อันดับที่ 2 | นโยบาย กฎระเบียบ และมาตรการจูงใจที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) | 72.5% |
อันดับที่ 3 | เทคโนโลยี/นวัตกรรมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเทคโนโลยีกักเก็บ และการนำคาร์บอนไปใช้ประโยชน์ (CCUS) ที่มีราคาเหมาะสม |
66.9% |
อันดับที่ 4 | การสร้างจิตสำนึกและความตระหนักของผู้บริโภคเพื่อให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์/บริการที่เป็นมิตรกับสิ่ง แวดล้อม |
62.5% |
5.ภาคส่วนใดที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero
อันดับที่ 1 | ภาคพลังงานและขนส่ง | 50.0% |
อันดับที่ 2 | ภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ | 29.4% |
อันดับที่ 3 | ภาคการจัดการของเสีย | 11.3% |
อันดับที่ 4 | ภาคเกษตรกรรม | 9.3% |
6.ภาคอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัวมากน้อยเพียงใด จากเป้าหมาย Net Zero
อันดับที่ 1 | ต้องปรับตัวเพราะเป็นโอกาสทางธุรกิจ | 55.0% |
อันดับที่ 2 | ต้องปรับตัวบ้าง | 24.4% |
อันดับที่ 3 | ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะได้รับผลกระทบโดยตรง | 20.6% |
7.ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อการปฏิบัติตามมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเรื่องใด
อันดับที่ 1 | กฎระเบียบใหม่ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ | 68.8% |
อันดับที่ 2 | ต้นทุนทางการเงินในการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อลดการปล่อย GHG และราคาพลังงานทดแทนอาจ สูงขึ้น |
68.8% |
อันดับที่ 3 | มาตรการและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ | 59.4% |
อันดับที่ 4 | มาตรฐานการคำนวณและรับรองคาร์บอนเครดิตที่มีความแตกต่างกัน | 51.2% |
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ธ.ค. 64)
Tags: ความเป็นกลางทางคาร์บอน, พลังงานสะอาด, วิรัตน์ เอื้อนฤมิต, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สอท., อุตสาหกรรม