นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum Annual Meeting 2025 ประจำปี 2568 ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ ว่า การไปร่วมประชุมครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่ได้มาพร้อมทีมไทยแลนด์ชุดใหญ่
ประกอบด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ, ผู้แทนการค้าไทย และ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
โดยในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ได้พบหารือกับคณะนักธุรกิจ และผู้นำของแต่ละประเทศมากถึงกว่า 20 ภารกิจ ประกอบด้วย การหารือกับ 11 บริษัทเอกชนชั้นนำระดับโลก ได้แก่ DP World/ Nestle/ Coca Cola/ Bayer AG/ Astra Zeneca/ Salesforce/ Google/ Pepsi/ AWS/ Grap/ Amazon Web Services ซึ่งได้รับการตอบรับที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหลายบริษัทที่เคยลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้วจะลงทุนเพิ่มมากขึ้น ส่วนบริษัทใหม่ ๆ ก็ให้ความสนใจมากที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นในเร็ววันนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในระดับประเทศได้เข้าเยี่ยมคารวะผู้นำประเทศ และหัวหน้ารัฐบาล ถึง 4 คน ได้แก่ ประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส, นายกรัฐมนตรีของอาร์เมเนีย, นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐคอซอวอ และนายมูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ, ศาสตราจารย์ เคล้าส์ ชวาป ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum (WEF) ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นที่รู้จักกับนานาอารยะประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดความสัมพันธ์ทั้งระดับภูมิภาค และระดับประเทศมากขึ้น
ขณะที่กิจกรรมสำคัญตลอดการประชุม นายกรัฐมนตรีมีโอกาสได้ร่วมงานสำคัญในการให้การต้อนรับ อาทิ งานเลี้ยงรับรองของประธาน WEF และทีมไทยแลนด์ยังได้จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวัน Thailand Reception ที่นำเสนอในรูปแบบไทยสไตล์ และอาหารไทยจนผู้ร่วมงานให้ความชื่นชม และสนใจในอาหารและวัฒนธรรมที่สวยงามของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
สำหรับเรื่องสำคัญที่สุด อันถือเป็นประวัติศาสตร์ทางการค้าของไทยกับประเทศในสหภาพยุโรป ที่มีการลงนามความตกลง FTA ไทย-EFTA กับ 4 ประเทศเป็นครั้งแรก ทำให้เป็นโอกาสที่ดีของสินค้าไทยที่จะเข้าไปจำหน่ายในประเทศแถบยุโรปมากขึ้น
ในวงเสวนา Betazone “Not Losing Sight of Soft Power” และการร่วมกิจกรรม Country Strategy Dialogue (CSD) on Thailand / และ Thailand Networking Dinner Reception ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักกับต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในยุโรป และยังได้แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม อันเป็นซอฟพาวเวอร์สำคัญของประเทศไทย ที่จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสินค้าให้ชาวยุโรปได้รู้จักมากขึ้น
ส่วนการพบปะพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับผู้นำและบุคคลสำคัญ เช่น นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย, นายกรัฐมนตรีมอนเตรเนโก, นายกรัฐมนตรีสวีเดน, นายกรัฐมนตรีภูฏาน และนาย Olivier Schwab บุตรชายของผู้ก่อตั้ง WEF -นาง Melanie Brown, (หัวหน้าด้านวัฒนธรรมของ WEF) อดีตนักร้องวงดนตรี Spice Girls ทำให้ประเทศไทยและต่างประเทศได้กระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
ขณะที่การพบกับผู้บริหารภาคเอกชนไทยที่เดินทางมาร่วมประชุม อาทิ ผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ /CP/ Bitkup ทำให้เห็นถึงแนวทางการลงทุน และรับฟังทุกคำเสนอแนะของการลงทุนของไทยในต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การมาประชุมครั้งนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมาก ที่ได้มีโอกาสสื่อสารถึงโอกาสและศักยภาพของประเทศไทย และสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วนของบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ด้วยที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ด้านความมั่นคงด้านอาหาร รวมทั้ง รัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี พัฒนาคน ปรับ กฏระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน เพื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุมอีกด้วย
อีกทั้งยังมีโอกาสได้โปรโมทซอฟท์พาวเวอร์ ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร ที่มาจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย จนกลายเป็นสินค้าและบริการที่มีมูลค่าในปัจจุบัน เช่น มวยไทย อาหารไทย ผ้าไทย เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างประเทศ โดยรัฐบาลจะส่งเสริมให้เป็นเครื่องจักรใหม่ (engine force) ในการสร้างเม็ดเงินและนำรายได้เข้าสู่ประเทศ
“มาครั้งนี้ ทีมไทยแลนด์ได้ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทั่วโลกจับตามอง และยังเป็นการติดตามเทรนด์โลกยุคใหม่ และได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำและบุคคลสำคัญ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทาง และเป้าหมายที่รัฐบาลกำลังทำ เช่น การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI การแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งเตรียมเด็ก เยาวชนคนรุ่นใหม่ของไทย ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ” น.ส.แพทองธาร กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ม.ค. 68)
Tags: World Economic Forum, จิรายุ ห่วงทรัพย์, แพทองธาร ชินวัตร