“ประเดช” เปิดใจซื้อหุ้น WEH ราคาสูงกว่า “ณพ”” หวังช่วยโครงการเดินหน้า พร้อมสู้คดีในศาลไทย

นายประเดช กิตติอิสรานนท์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงในการเข้าไปลงทุนในหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) หลังจากตกป็นหนึ่งในจำเลยที่ถูกศาลอังกฤษตัดสินให้เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดคดีหลวงลวงให้เจ้าของเดิม WEH ขายหุ้นให้ในราคาต่ำกว่ามูลค่า

นายประเดช ระบุว่า เมื่อประมาณเดือน มิ.ย.60 นายณพ ณรงค์เดช และ นายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์ ได้พากันมาขอให้ช่วยซื้อหุ้น WEH จากบริษัท GML ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใน WEH เพราะนายณพต้องการนำเงินไปจ่ายค่าซื้อหุ้น WEH จากนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ไม่เช่นนั้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) จะไม่ปล่อยสินเชื่อเงินกู้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม 5 โครงการ (T5) ให้แก่ WEH รวมถึงโครงการพลังงานลมวะตะแบกก็จะไม่สามารถเบิกเงินกู้จาก SCB มาใช้ในการก่อสร้างต่อไปได้ ซึ่งจะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมากให้กับ WEH

ราคาหุ้น WEH ที่นายณพเสนอขายรวมเป็นเงินทั้งหมด 5.9 พันล้านบาท ราคาหุ้นละ 410 บาท โดยมีข้อตกลงให้ชำระเงินจำนวนครึ่งหนึ่งในวันโอนหุ้น ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้ชำระเมื่อ WEH ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ได้ ตนเองและนักลงทุนอีก 32 คน จึงรวมเงินกันมาซื้อหุ้น WEH และจ่ายเงินตามที่ตกลงไว้ครบถ้วน

ทั้งนี้ การตัดสินใจซื้อหุ้น WEH ในตอนนั้นไม่เคยรู้มาก่อนว่านายณพซื้อหุ้นมาในราคาเท่าไหร่ แต่มารู้ภายในภายหลังว่านายณพซื้อหุ้นจากนายนพพรมาในราคาหุ้นละประมาณ 370 บาทต่อหุ้น ดังนั้น หุ้น WEH ที่ตนเองและกลุ่มนักลงทุนซื้อมาจึงมีราคาที่สูงกว่าหุ้นที่นายณพได้ซื้อมาจากนายนพพร

การซื้อหุ้นดังกล่าวตนเองมีความตั้งใจและเจตนาเพื่อเป็นการช่วยให้ WEH ไม่ได้รับความเสียหาย สามารถดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม T5 ต่อไปได้ จนเป็นที่มาของโรงไฟฟ้าพลังงานลม T5 ในปัจจุบัน อีกทั้งตนเองได้รับคำยืนยันจาก SCB ในขณะนั้นว่าหากซื้อหุ้นและชำระเงินค่าซื้อหุ้นให้แก่นายณพแล้ว SCB จะปล่อยเงินกู้ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม T5 รวมถึงได้รับการยืนยันว่าหุ้น WEH ที่ซื้อจะไม่มีปัญหา เพราะการที่นายณพถูกนายนพพรฟ้องที่อนุญาโตตุลาการประเทศสิงคโปร์เป็นเรื่องการฟ้องให้ชำระหนี้เงินค่าหุ้นไม่ใช่ฟ้องเรียกเอาหุ้น WEH คืน

สำหรับกรณีที่ศาลสูงแห่งประเทศอังกฤษและเวลล์ (ศาลอังกฤษ) ได้มีคำพิพากษาใดก็ตามไม่มีผลผูกพันกับศาลไทยที่จะต้องปฏิบัติตามศาลอังกฤษที่มีคำพิพากษาไว้ หากจะให้มีผลผูกพันตามกฎหมายไทย ต้องยื่นฟ้องกันใหม่ในประเทศไทยเท่านั้น ในส่วนของตนเองไม่ได้ไปต่อสู้คดีที่ศาลอังกฤษ และน่าจะมีฝ่ายใดให้การหรือเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จ ซึ่งพิจารณาดูตามคำพิพากษาของศาลอังกฤษแล้ว อาจเป็นการฟังความจากฝ่ายเดียว ฉะนั้นความจริงจะปรากฎเมื่อหากคู่ความฝ่ายใดในคดีที่ศาลอังกฤษได้มีการมายื่นฟ้องในศาลไทย ซึ่งหากมีการให้การเท็จ ใดๆบุคคลนั้นอาจจะมีความผิดฐานเบิกความเท็จ สำหรับตนเองพร้อมจะพิสูจน์ความจริงที่ศาลไทย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 66)

Tags: , , , , ,