บอร์ด MGC ไฟเขียวทุ่มงบ 100 ลบ. ซื้อหุ้นคืน ตั้งแต่ 18 มี.ค.-17 ก.ย. 68

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) [MGC] เปิดเผยว่า จากกรณีที่ราคาหุ้นของบริษัทฯ ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ส่งผลให้ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลับคืน ผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) โดยจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนสูงสุดไม่เกิน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็น 2.7% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ภายในวงเงินซื้อคืนสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท ตามกรอบกำหนดระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ถึงวันที่ 17 กันยายน 2568

โดยการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และเพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนถึงราคาหุ้นที่แท้จริง รวมทั้งเป็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและ นักลงทุนในอนาคต จากการซื้อหุ้นคืนและขายกลับในจังหวะเวลาที่เหมาะสมซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนของผู้ถือหุ้น

“สาเหตุการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี จึงได้ตัดสินใจดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารโครงสร้างเงินทุน (Capital Management) เพื่อเสริมสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ทั้งนี้บริษัทฯ มีศักยภาพและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีกำไรสะสมและสภาพคล่องส่วนเกินเพียงพอ โดยมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 828.54 ล้านบาท และมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ครบกำหนดภายในระยะเวลา 6 เดือน ดังนั้นการซื้อหุ้นคืนจะส่งผลให้มูลค่าทางบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้น และจำนวนหุ้นที่ถือโดยผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ลดลง ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น และที่สำคัญจะสร้างโอกาสที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ในระดับที่ P/E เท่าเดิม”

นายสัณหวุฒิ กล่าวว่า ในปี 2568 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2567 ที่มีรายได้รวม 20,334 ล้านบาท จากกลยุทธ์การขับเคลื่อนใน 4 กลุ่มธุรกิจ 1. กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) 2. กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) 3. กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว (Car Rental and Driver Services) และ 4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) ได้แก่ บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ผู้ให้บริการทางการเงินให้กับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง มีความชำนาญในด้านสินทรัพย์ที่เป็นยานพาหนะหรู ทั้งรถยนต์ เรือยอทซ์ และเครื่องบิน ตลอดจน อสังหาริมทรัพย์ โดยในปีนี้มุ่งเน้นการขยายตลาดสินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่สูงขึ้น พร้อมตั้งเป้าการขยายพอร์ตสินเชื่อเพิ่มขึ้นแตะระดับ 12,500 ล้านบาท รวมถึง บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการประกันภัยชั้นแนวหน้า โดยในปีนี้มีแผนขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่หลากหลาย รวมทั้งประกันที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนตามแนวทาง ESG เช่น ในกลุ่มพลังงาน พลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก และเมกะเทรนด์ต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ และรักษาการเป็นโบรกเกอร์ระดับชั้นนำ

“จากมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯดังกล่าว เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน หลังราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ประกอบกับแผนการขับเคลื่อนทางธุรกิจ สู่การต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งเป็นการตอกย้ำที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลผู้ถือหุ้นและนักลงทุน สู่การสร้างเสถียรภาพด้านราคาเพื่อให้สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 มี.ค. 68)

Tags: , , , ,