บล.พาย ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,4601,520 จุด เชิงกลยุทธ์หากปรับฐานจากสถานการณ์การเมืองมองเป็นโอกาสลงทุน เพราะเชื่อว่าสุดท้ายรัฐบาลจะจัดตั้งได้
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้นักลงทุนจะให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านการเมืองเป็นหลัก โดยเฉพาะการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. ข้อมูลล่าสุดพบว่าแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีเสียง ส.ส. รวมกันทั้งหมด 310 เสียง ยังขาดอีกกว่า 65 เสียง ในวันดังกล่าวจึงต้องรอติดตามว่าจะได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว.หรือไม่
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากการโหวดเลือกนายกฯ ผ่านไปได้โดยดี ตลาดหุ้นมีโอกาสตอบรับเชิงบวกจากความชัดเจนทางการเมือง แต่ถ้าโหวดไม่ผ่านตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐาน แต่เชื่อว่าจะไม่รุนแรง เพราะตลาดรับรู้ไปในราคาระดับหนึ่งแล้วว่าการโหวดรอบแรกจะยังผ่านไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเราเชื่อว่าการโหวดนายกฯ จะผ่านไปได้ในที่สุด ดังนั้น หากตลาดปรับฐานลงมาจากความกังวลรอบแรกมองเป็นโอกาสสะสม
นอกจากนี้ ปัจจัยต่างประเทศก็เชื่อว่าแรงกดดันจะค่อยๆ คลายตัวลงจากการที่ตลาด Price In ประเด็นดอกเบี้ยไปมากแล้ว โดยตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดลบ 0.5% การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างผันผวนหลังจากรายงานการจ้างงานต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 2.9% คลายกังวลภาวะดอกเบี้ยหลังจากรายงานจ้างงานต่ำตลาดคาด
โดยสหรัฐฯ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ 2.09 แสนตำแหน่งต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.24 แสนตำแหน่ง และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.06 แสนตำแหน่ง ด้านอัตราการว่างงานตามตลาดคาดที่ 3.6% ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงขยายตัว 0.4%MoM สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.3%MoM ภายหลังจากทราบข้อมูลข้างต้นพบว่า US Bond Yield 2 ปีเริ่มชะลอตัวลง แต่ CME FED Watch ยังให้น้ำหนักระดับสูงราว 93% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมสิ้นเดือน ก.ค.
สัปดาห์นี้รอติดตามเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) ที่มีกำหนดรายงานในคืนวันพุธราว 19.30 น. Bloomberg ประเมินไว้ที่ 3.1%YoY หากต่ำกว่าตลาดคาดจะเป็นปัจจัยบวกให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และดัชนี PPI ของสหรัฐฯ ในคืนวันพฤหัสบดี Bloomberg ประเมินไว้ที่ 0.2%MoM (2) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐฯจาก U of Michigan ตลาดคาด ไว้ที่ 65.5
บล.พาย แนะนำหุ้นแนะนำระยะสั้น ได้แก่ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT SPA) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ศูนย์การค้า (CPN) ขนส่ง (BEM) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) Finance (MTC TIDLOR) กลุ่มน้ำมัน (PTTEP)
PTTEP (ถือ / ราคาเป้าหมาย 162.00 บาท) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ที่ 2.02 หมื่นล้านบาท (-2.0% YoY, +4.7% QoQ) แม้ปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยจะอ่อนแอ แต่กำไรสุทธิจะได้แรงหนุนจากภาษีจ่ายที่ลดลงและกำไรพิเศษ US$40.0 ล้านจากรการป้องกันความเสี่ยงและอัตราแลกเปลี่ยน (FX) เราปรับมามองบวกต่อภาพรวมในครึ่งหลังปี 66 เพราะการที่ OPEC+ ลดการผลิตลงอาจดันราคาน้ำมันดิบขึ้นเหนือ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปริมาณขายก็จะฟื้นตัวขึ้น
CPAXT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 49.00 บาท) ราคาหุ้น CPAXT ลดลง 18% ตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.66 เพราะตัวเลขการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ Makro ที่ลดเหลือ 4% YoY ในเดือน มิ.ย.66 จาก 7.5% ในเดือน พ.ค. 66 แต่เราเชื่อว่ากำไรจะฟื้นแข็งแกร่ง HoH ในครึ่งหลังปี 66 หนุนจากยอดขายที่ดีดตัวขึ้นในย่านท่องเที่ยว ยอดขายออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) ที่โตดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ค. 66)
Tags: SET, SET Index, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, บล.พาย, หุ้นไทย