นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า นโยบายสำคัญโครงการหนึ่งของพรรคเพื่อไทย คือ การเปิดตัวโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท/คน ซึ่งให้กับคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยใช้เม็ดเงินในการอัดฉีดกว่า 5 แสนล้านบาท แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนในส่วนของแพลตฟอร์มที่จะนำมาใช้ แหล่งเงินทุน และการบริหารจัดการหนี้สาธารณะในอนาคต แต่มองว่าจะเป็นปัจจัยที่เติบโตของประเทศไทยในช่วงต่อไป
โดยเริ่มจากการประมาณการณ์พื้นฐานของประเทศไทยจากตัวเลขเศรษฐกิจในปี 67 ที่คาดว่าขยายตัวได้ 3.3% ซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 66 ที่คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่ 2.8% โดยที่มีตัวแปรสำคัญมาจากการบริโภคภาคเอกชน และหากมองไปถึงนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงเดือนก.พ. 67 และระยะเวลาในการใช้จะอยู่ที่ราว 2 ไตรมาส จะช่วยหนุนต่อการบริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งหากมองในมุมมองเชิงบวกในเรื่องการเร่งการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่จะเร่งตัวขึ้น 6% ในปี 67 อาจจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยในปี 67 ขยายตัวได้ถึง 5.4%
ด้านภาพของตลาดหุ้นไทยในปี 67 คาดว่าจะตอบรับในเชิงบวก จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่ออกมา ที่ช่วยผลักดันการเศรษฐกิจไทย โดยที่ประเมินว่าดัชนี SET ในปี 67 จะเข้าใกล้ระดับ 1,750 จุด ในช่วงสิ้นปี 67 และมองไปถึงทิศทางของกองทุนต่างประเทศบางส่วนจะกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยจากภาพรวมของการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น ซึ่งโดยปกติจะเห็นว่ากระแสเงินทุนต่างชาติมักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับอุปสงค์ในประเทศ
อย่างไรก็ตามโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะเป็นความเสี่ยงทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น จากอุปสงค์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยสูงขึ้นในช่วงที่มีการดำเนินโครงการออกมา ส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไปของไทยอาจจะปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับระดับเพดานเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มากเงินไป ทำให้อาจเกิดความเสี่ยงที่ส่งผลให้ธปท.อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้เพื่อจัดการกับเงินเฟ้อ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.ย. 66)
Tags: บล.กรุงศรี, หุ้นไทย