ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยหอการค้าอเมริกันในประเทศจีนระบุว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากที่สุดสำหรับบริษัทอเมริกันที่ดำเนินธุรกิจในประเทศจีน
ผลสำรวจซึ่งมีการเผยแพร่ในอังคาร (23 เม.ย.) ระบุว่า บริษัทสหรัฐหลายแห่งมองว่า นโยบายที่ไม่มีความต่อเนื่องและไม่ชัดเจน, ต้นทุนแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และประเด็นความปลอดภัยของข้อมูล ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างความกังวล ขณะเดียวกันบริษัทเหล่านี้มองว่า แม้บรรดาผู้นำของจีนยืนยันว่าจีนเปิดรับธุรกิจต่างชาติ แต่บริษัทจำนวนมากยังคงถูกขัดขวางจากการแข่งขันอย่างเสรี
รายงานของหอการค้าอเมริกันระบุว่า “รัฐบาลจีนเคยระบุว่าจะส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แต่บริษัทที่เป็นสมาชิกหอการค้าของเรายังคงเผชิญกับอุปสรรคในการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ ซึ่งรวมถึงนโยบายที่เลือกปฏิบัติต่อพวกเขา และการรณรงค์ด้านประชาสัมพันธ์ของจีนที่ชวนให้เกิดข้อสงสัยสำหรับชาวต่างชาติ”
หอการค้าอเมริกันยินดีกับความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐในปี 2566 หลังจากการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ แต่หอการค้าระบุว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย.ปีนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่จะมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในอนาคต
เว็บไซต์สำนักข่าวมาร์เก็ตวอตช์รายงานว่า นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อไม่นานมานี้ โดยนางเยลเลนได้หยิบยกข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของจีน อาจจะมีกำลังการผลิตมากเกินไป เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า การผลิตเหล็ก และแผงโซลาร์ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตของสหรัฐและประเทศอื่น ๆ
ทั้งนี้ รายงานของหอการค้าอเมริกันระบุว่า การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการสื่อสารในระดับสูงระหว่างจีนและสหรัฐถือเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก พร้อมระบุว่า สมาชิกหลายรายของหอการค้าอเมริกันยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน พร้อมกับเรียกร้องให้จีนกำหนดและบังคับใช้นโยบายเศรษฐกิจที่มีความโปร่งใส ซึ่งจะสร้างความเท่าเทียมให้กับภาคธุรกิจทั้งในประเทศและธุรกิจของต่างชาติ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 เม.ย. 67)