นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า จากสถานการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ทำให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยได้รับผลกระทบรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร ซึ่งนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงาน และระดมทุกสรรพกำลัง จากทั้งภาครัฐ เอกชน และอาสาสมัคร ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
เพื่อเป็นการป้องกัน การเตรียมรับมือและมีมาตรการที่ชัดเจนในการรับมือ อุบัติภัย ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ ทุกประเภท ทั้งอุทกภัย สึนามิ ไฟป่า รวมถึงแผ่นดินไหว นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการดังนี้
1. ให้กระทรวงมหาดไทย จัดทำแผน และมาตรการในการป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ โดยแบ่งหน้าที่ และขั้นตอนต่าง ๆ อย่างชัดเจน (Flowchart) เพื่อให้เกิดความเข้าใจกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับมาเสนอภายในสิ้นเดือนนี้ และ ขอให้ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) หามาตรการประสานงานกับกระทรวง DE กรมอุตุนิยมวิทยา และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ส่งข้อความเตือนภัยที่ชัดเจนและรวดเร็วมากขึ้น ให้มีการใช้ระบบ Virtual cell broadcast กับอุปกรณ์โทรศัพท์ทุกรูปแบบ
ระหว่างการรอระบบ Cell broadcast ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนก.ค. นี้ เพื่อให้ระบบสื่อสารเตือนภัยมีประสิทธิภาพสูงสุดในการเตือนภัย ทั้งจากภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม อุบัติเหตุ อุบัติภัยต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ อุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นต้น แม้กระทั่งการรุกรานจาก cyber crime โดยให้ศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศ และให้ทางกรมโยธาธิการฯ เร่งออกมาตรการ ข้อกำหนดตรวจสอบอาคารสูงทุกแห่งเพื่อให้ได้มาตรฐาน โดยร่วมมือกับ กทม. และสมาคมที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญ และควรจะกำหนดเกณฑ์มาตรฐานและออกใบรับรองมาตรฐานอาคาร เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนและนักท่องเที่ยว
2. สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ เร่งปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศที่มีความพร้อมในระบบเตือนภัย เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป นิวซีแลนด์ และ อิสราเอล โดยประสานผ่านสถานทูต เชิญมาประชุมกับผู้ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางปฎิบัติสำหรับประเทศไทยให้เร็วที่สุด
3. ให้กระทรวงสาธารณสุข วางแผนเตรียมรับมือทั้งแพทย์ฉุกเฉิน เตียงสนามให้เพียงพอ รวมถึงจิตแพทย์ที่จะดูแลฟื้นฟูผู้ที่รับผลกระทบ
4. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สั่งการให้เร่งสื่อสารกับนักท่องเที่ยว หรือชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทย ให้ได้รับข้อความเตือนภัย และแผนรับมือกับเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน
5. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระดมนักวิชาการทางด้านธรณีวิทยาเพื่อรวบรวมข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะในมาตรการรับมือที่ถูกต้อง และป้องกันภัยได้อย่างรัดกุมที่สุด รวมถึงการตรวจระบบอุปกรณ์เตือนภัยต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่ ให้สามารถใช้งานได้อย่างปกติ เช่น ระบบเตือนภัยสึนามิ ตลอดจนการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้มากยิ่งขึ้น
6. ให้กระทรวงศึกษาธิการ เร่งเพิ่มเติมหลักสูตร และแผนการรับมือภัยธรรมชาติในทุกรูปแบบให้กับนักเรียนนักศึกษาทุกระดับ
7. ให้กระทรวงคมนาคม เร่งตรวจสอบเส้นทางคมนาคมทุกมิติให้มีความพร้อมให้บริการกับประชาชน รวมถึงตรวจสอบงานก่อสร้างขนาดใหญ่ให้ได้มาตรฐาน สามารถรองรับภัยธรรมชาติต่าง ๆ ได้
8. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมมือกับ ปภ.เร่งสรุปมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเร็วตามที่กฎหมายกำหนด และให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นศูนย์กลางกระจายข่าวสารที่ถูกต้องอย่างทั่วถึง รวมทั้งกระจายไปยังช่องทางต่าง ๆ ให้ครบถ้วนทั้งสถานีวิทยุ โทรทัศน์ และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook หรือ LINE รวมทั้งให้ประสานขอความร่วมมือกับ เอกชน ที่มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ที่สามารถขึ้นภาพได้ทันที เพื่อให้เกิดการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง
นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการให้คณะกรรมการสืบหาต้นเหตุของอาคารก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มในครั้งนี้ ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธาน ให้เร่งตรวจสอบหาข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน หากมีความผิดต้องดำเนินการตามกฏหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
“อาคารก่อสร้างถล่มครั้งนี้ ต้องหาสาเหตุ และหาผู้รับผิดชอบให้ได้ ไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะอยู่ยาก ต้องมีผู้รับผิดชอบเพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว
จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามในแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้รายงานต่อ ครม.ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับเป็นคดีพิเศษเพื่อติดตามตรวจสอบการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวที่พบว่ามีนอมินีมากถึง 17 บริษัท
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวรับงานส่วนราชการไปทั้งหมด 11 งาน 10 งานอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนงานที่แล้วเสร็จเป็นอาคารเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งจะเข้าดำเนินการตรวจสอบต่อไป
ด้าน นายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม รายงานว่า ผลของการตรวจสอบเหล็กพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานโดยจะส่งข้อมูลให้พนักงานสอบสวน เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวนต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 เม.ย. 68)
Tags: จิรายุ ห่วงทรัพย์, ตึก สตง., แพทองธาร ชินวัตร, ไชน่าเรลเวย์