นับถอยหลัง EUDR เต็มรูปแบบ ไทยพร้อมหรือยัง?

กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) จากไทยไปสหภาพยุโรป (อียู) ครอบคลุม 7 กลุ่มสินค้า คือ โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โค และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปของสินค้าเหล่านี้

โดยในช่วงครึ่งแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ของปี 67 ไทยส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ EUDR ไปอียู รวมมูลค่า 379.47 ล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าของสินค้าโดยใช้พิกัดศุลกากรตามที่ระบุใน Regulation (EU) 2023/1115) ขยายตัว 49.94% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

“จากการติดตามสถานการณ์การส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR จากไทยไปสหภาพยุโรป (อียู) อย่างต่อเนื่อง พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 67 มูลค่าการส่งออกมีการขยายตัวดี และยังสามารถขยายตัวได้สูงกว่าการส่งออกไปโลก”นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าว

*มูลค่าการส่งออกสูงสุด ดังนี้

1. ยางพารา 314.82 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 51.67%

2. ไม้ 49.06 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 24.71%

3. ปาล์มน้ำมัน 11.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 488.80%

4. โกโก้ 3.56 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 10.15%

5. กาแฟ 0.18 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 6.54%

6. ถั่วเหลือง 0.001 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 44.37%

7. โค เป็นสินค้าที่ไทยไม่มีการส่งออกไปอียู

สำหรับสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก รวมกันคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 99.01% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR จากไทยไปอียู (ยางพารา ไม้ และปาล์มน้ำมัน มีสัดส่วน 82.96% 12.92% และ 3.12% ตามลำดับ) ซึ่งมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้ง 3 กลุ่มไปอียู มีการขยายตัวดีกว่ามูลค่าการส่งออกไปโลก ดังนี้

1. การส่งออกยางพาราไปอียู ขยายตัวถึง 51.67% ขณะที่การส่งออกยางพาราไปโลก ขยายตัว 30.86%

2. การส่งออกไม้ไปอียู ขยายตัว 24.71% ขณะที่การส่งออกไม้ไปโลก ขยายตัว 5.48%

3. การส่งออกปาล์มน้ำมันไปอียู ขยายตัว 488.80% ขณะที่การส่งออกปาล์มน้ำมันไปโลก หดตัว 20.15%

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แม้ว่าปัจจุบันการส่งออกกลุ่มสินค้าที่อยู่ภายใต้กฎหมาย EUDR จากไทยไปอียู ยังมีสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับการส่งออกจากไทยไปโลก (มีสัดส่วน 7.65% ของมูลค่าการส่งออกไปโลก) แต่การขยายตัวที่ดีแสดงให้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพของไทย ที่จะสามารถปรับตัวและส่งออกสินค้าภายใต้ EUDR ไปยังอียูได้มากขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ มาตรการ EUDR จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 30 ธ.ค. 67 ซึ่งผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับต้นทุนในการตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่การผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต จึงจำเป็นต้องวางแผนปรับตัวและเตรียมการให้พร้อม เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นภายใต้กฎระเบียบการค้าใหม่ของอียู โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เพียงแต่เป็นความท้าทาย แต่เป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับไทยที่จะพัฒนาคุณภาพสินค้า และสร้างความยั่งยืนในการทำธุรกิจด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ก.ย. 67)

Tags: , , , , ,