นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ในปี 2568 ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลูกค้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนี้
- กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายลดภาษีนิติบุคคล ได้แก่ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสารและกลุ่มสถาบันการเงิน
- กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นมักปรับขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงเกิดสงครามการค้า ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น
- สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง สหรัฐฯ ได้แก่ ตราสารหนี้ระยะสั้น รีท และทองคำ พร้อมทั้งแนะนำให้หลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ หุ้นจีน น้ำมัน และพลังงาน
ธุรกิจในสหรัฐฯจะได้ประโยชน์อย่างมากจากการลดภาษีนิติบุคคลจากอัตรา 21% เหลือ 15% และขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) จะช่วยให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ สูงขึ้นทันทีและช่วยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ในโลก
สำหรับหุ้นกลุ่มที่จะได้อานิสงค์สูงสุด คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ในปี 2568 จะปรับขึ้น 6.8% ตามด้วยกลุ่มบริการการสื่อสาร (Commucation Services) และกลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) โดย EPS จะปรับขึ้น 5.1% และ 4.6% ตามลำดับ โดยทั้งสามกลุ่มจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีนิติบุคคล และมีความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้จากสงครามการค้าในระดับต่ำ
ในช่วงที่สหรัฐฯ เดินหน้ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้า จะกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง สวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ(S&P500) ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2560-2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ทรัมป์ใช้มาตรการขึ้นภาษีดังกล่าวพบว่า นอกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มขึ้น 43% ในช่วง 3 ปี แล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีตลาดหุ้นประเทศอื่นปรับตัวขึ้นตามไปด้วย คือ ตลาดหุ้นอินเดียปรับขึ้น 55% ตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้น 34% และตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้น 21% เนื่องจาก ทั้งสามประเทศได้รับผลกระทบสงครามการค้าอย่างจำกัดและเศรษฐกิจในประเทศได้รับปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ
และหากมองไปข้างหน้า 3 ประเทศนี้ก็ยังมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวในการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งมีสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP ของแต่ละประเทศ โดยประเทศอินเดียและเวียดนามถูกมองว่าเป็นทางเลือกในการเป็นผู้ผลิตหรือเป็นทางผ่านของการส่งออกสินค้าไปทั่วโลกแทนจีน ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นยังมีปัจจัยช่วยจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงและอ่อนไหวต่อประเด็นสงครามการค้าต่ำ ทำให้ทั้ง 3 ประเทศมีภูมิต้านทานทางเศรษฐกิจต่อการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ อีกด้วย
ในปี 2568 ธนาคารทิสโก้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 4% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.50 – 4.75% ซึ่งสินทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์จากการสถานการณ์ดังกล่าวคือ ตราสารหนี้ระยะสั้น และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) นอกจากสินทรัพย์ดังกล่าวจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีแล้ว ยังช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในช่วงที่สินทรัพย์อื่นๆ จะได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมองว่า “ทองคำ” เป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ทรัมป์เดินหน้านโยบายต่างๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นก็ทำให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นด้วย ดังเช่นในสมัยแรกที่ดำรงตำแหน่งหนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 39% ในระยะเวลาเพียง 4 ปี การเพิ่มขึ้นของหนี้ส่งผลโดยตรงต่อราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 53% ตามแนวโน้มปริมาณหนี้ ด้วยความสัมพันธ์ที่สูงมากถึง Correlation Coefficient = 0.9
ธนาคารทิสโก้แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนใน “หุ้นจีน” ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่สหรัฐจะใช้นโยบายกีดกันทางการค้า และเศรษฐกิจภายในของจีนยังชะลอตัวจากมาตรการภาครัฐฯ ที่ยังไม่สามารถทำให้ฟื้นตัวจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ได้
และ “หุ้นกลุ่มน้ำมันและพลังงานสะอาด” ที่มีความเสี่ยงถูกกดดันจากแนวโน้ม Supply ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า Demand ของโลก รวมถึงได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์สนับสนุนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ทำให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวลดลงได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ธ.ค. 67)
Tags: ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์, ธนาคารทิสโก้, สินทรัพย์, หุ้นจีน