คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐได้เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลภาคธนาคารใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นกับธนาคารขนาดกลาง โดยระบุว่าอาจมีการผลักดันกฎระเบียบดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้โดยไม่ต้องผ่านการสนับสนุนจากสภาคองเกรส
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวกล่าวว่า กฎระเบียบใหม่นี้ครอบคลุมถึงการกำหนดให้ธนาคารที่มีสินทรัพย์ 1-2.50 แสนล้านดอลลาร์ ต้องเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง, เพิ่มเงินทุน, เข้ารับการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) และเปิดเผยแผนการ (Living Will) ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดว่า ธนาคารจะปิดกิจการได้อย่างไรหากจำเป็น
“มาตรการทั้งหมดเหล่านี้สามารถบังคับใช้ภายใต้กฎหมายเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผ่านกระบวนการอนุมัติจากสภาคองเกรส” เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าว
การผลักดันกฎระเบียบดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์หลังจากการล้มละลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และซิกเนเจอร์แบงก์ (SB) ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน และฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงทั่วโลก
นอกจากนี้ ข่าวการผลักดันกฎระเบียบคุมเข้มธนาคารขนาดกลางยังส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงเมื่อวานนี้ (30 มี.ค.) ด้วย โดยดัชนี S&P500 banking index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารที่คำนวณใน S&P500 และดัชนี KBW regional banking index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาค ปรับตัวลง 0.3% และ 2% ตามลำดับ
มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า แม้ขณะนี้ความเสี่ยงที่อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารจะอยู่ในกรอบจำกัด แต่หากวิกฤตการณ์ดังกล่าวยืดเยื้อยาวนาน ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจและสถานะการคลังของสหรัฐอ่อนแอลง และจะส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐในที่สุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 มี.ค. 66)
Tags: ซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์, ธนาคารขนาดกลาง, โจ ไบเดน