นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังจับตาราคาบ้านในสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในขณะนี้ และมีความกังวลว่า การปรับตัวขึ้นของราคาบ้านจะทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อ และจะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงตลาดที่อยู่อาศัย
“เราตระหนักถึงความจำเป็นในการเพิ่มจำนวนบ้านในตลาด โดยเฉพาะบ้านที่มีราคาไม่แพง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงตลาดที่อยู่อาศัยได้”
นางซากีกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว
การแสดงความเห็นของโฆษกทำเนียบขาวมีขึ้นไม่นานหลังจากเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 13.2% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2548 และเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10
ส่วนดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.3% ในเดือนมี.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 12.0% ในเดือนก.พ. โดยราคาบ้านเพิ่มขึ้นสูงสุดในเมืองฟีนิกซ์ ซานดิเอโก และซีแอตเติล
รายงานระบุว่า ราคาบ้านในสหรัฐพุ่งขึ้นทั่วประเทศ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดแคลนไม้ รวมทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างความเสียหายต่อซัพพลายเชน
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาบ้านยังส่งผลให้ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐลดลง 5.9% สู่ระดับ 863,000 ยูนิตในเดือนเม.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 970,000 ยูนิต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 พ.ค. 64)
Tags: ทำเนียบขาว, ที่อยู่อาศัย, สหรัฐ, เจน ซากี