ทองคำนิวยอร์กปิดลบ 1.80 ดอลลาร์ นลท.ขายทำกำไรหลังราคาพุ่งทำนิวไฮ

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (11 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดี ราคาทองยังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้ายังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 1.80 ดอลลาร์ หรือ 0.06% ปิดที่ 2,932.60 ดอลลาร์/ออนซ์

จิม วิคคอฟฟื นักวิเคราะห์จากบริษัท Kitco Metals กล่าวว่า การที่ราคาทองคำปรับตัวลงเล็กน้อยเป็นผลมาจากนักลงทุนขายทำกำไร และอาจจะเกิดจากการที่ราคาเข้าสู่ภาวะปรับฐานในระยะสั้น

นักวิเคราะห์คาดว่า ราคาทองคำจะยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจะเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย โดยซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในระยะใกล้ (0-3 เดือน) ขึ้นสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ จากเดิม 2,800 ดอลลาร์ และคงตัวเลขคาดการณ์ราคาทองคำในช่วง 6-12 เดือนเอาไว้ที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารยูบีเอส (UBS) ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำขึ้นสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมสู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ที่กำลังประสบปัญหา แต่มาตรการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะทำให้สงครามการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น

เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้แถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาของสหรัฐฯ ในวันอังคาร โดยกล่าวว่าเฟดไม่จำเป็นต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ และอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%

พาวเวลมีกำหนดแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ (12 ก.พ.) เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐฯ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เวลา 20.30 น.ตามเวลาไทย เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.พ. 68)

Tags: , , , ,