บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัทที่ระดับ “A-” โดยพิจารณาจากสถานะเครดิตของทั้งบริษัทเองซึ่งเป็นผู้ออกตราสารและสถานะเครดิตของผู้ค้ำประกันคือธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “AA+” และแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” จากทริสเรทติ้ง โดยธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ในสัดส่วน 45% ของเงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้ดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.3 หมื่นล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้ชำระหนี้เงินกู้และ/หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทย ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัททั้งในธุรกิจการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมทั้งผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังของ ทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพีและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์คือ China Mobile International Holdings Ltd. (China Mobile) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวยังมีปัจจัยลดทอนจากงบการเงินที่มีหนี้สินอยู่ในระดับสูงของบริษัท ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม และผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นยังคงมีผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง กล่าวคือ ท่ามกลางผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 บริษัทยังมีรายได้ที่ระดับ 1.02 แสนล้านบาทซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากการให้บริการซึ่งไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายจำนวน 7.97 หมื่นล้านบาทนั้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแต่ก็มีปัจจัยลดทอนจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและมาตรการควบคุมพื้นที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดซึ่งส่งผลกดดันต่อธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกลุ่มลูกค้าแบบเติมเงินและธุรกิจให้บริการโทรทัศน์แบบตอบรับสมาชิก
ณ เดือนกันยายน 2564 ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทซึ่งดำเนินงานภายใต้แบรนด์ “ทรูมูฟ เอช” มีจำนวนลูกค้าทั้งสิ้น 32 ล้านราย เพิ่มขึ้นจาก 31.7 ล้านราย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 รายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ระดับ 5.99 หมื่นล้านบาทซึ่งลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ของกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรวมทั้งรายได้ต่อเลขหมาย (Average Revenue Per User – ARPU) ยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันและจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ทั้งนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รายได้รวมของกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ลดลง 1.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทรูมูฟ เอช ยังสามารถคงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในการเป็นผู้ให้บริการสื่อสารแบบไร้สายรายใหญ่อันดับสองของประเทศด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านรายได้คิดเป็นสัดส่วน 31.5% เอาไว้ได้
บริษัทมีรายได้จากการให้บริการธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จำนวนทั้งสิ้น 2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์การเชื่อมต่อแบบออนไลน์และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจากที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2564 จำนวนลูกค้าที่เป็นสมาชิกอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของบริษัทเติบโตมาอยู่ที่จำนวน 4.5 ล้านราย โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นถึงจำนวน 0.135 ล้านรายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ทั้งนี้ แม้ว่ารายได้ต่อเลขหมายจะมีแนวโน้มลดลง แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่ารายได้จากการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2564
รายได้จากธุรกิจให้บริการโทรทัศน์แบบตอบรับสมาชิกของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 6.7% มาอยู่ที่ระดับประมาณ 7.4 พันล้านบาทอันเป็นผลมาจากจำนวนสมาชิกที่หดตัวลง รวมถึงการลดการใช้จ่ายของลูกค้าในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ตลอดจนแนวโน้มการรับชมสื่อและข่าวสารผ่านทางช่องทางอินเทอร์เน็ต (Over-the-top — OTT) และออนไลน์ที่มีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม รายได้จากโฆษณา สันทนาการ และอื่นๆ มีการฟื้นตัวเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าการเปิดประเทศและการกลับมาของกิจกรรมทางสังคมจะช่วยให้ธุรกิจให้บริการโทรทัศน์แบบตอบรับสมาชิกค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ระดับ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอันเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมต้นทุนของบริษัท ตลอดจนการปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายที่ลดลง และประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทมีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA margin) อยู่ที่ระดับ 44.2% ในปี 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.6% ในปี 2563 ในขณะเดียวกันก็มีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 3.1 หมื่นล้านบาท
อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีหนี้สินอยู่ในระดับสูง กล่าวคือ ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 2.44 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 2.53 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 โดยมีหนี้สินปรับปรุงสุทธิอยู่ที่ประมาณ 4.16 แสนล้านบาท บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 7 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 9.5% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 82%
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากงบประมาณใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับการลงทุนในโครงข่ายสื่อสารแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกในช่วงระยะปานกลางโดยยังมีความจำเป็นจะต้องกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมส่วนใหญ่ที่จะครบกำหนดในช่วงเวลา 12-18 เดือนข้างหน้าด้วย
ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินของบริษัทย่อยในสัดส่วน 48% ของหนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทและหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งระดับหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทนั้นต่ำกว่าระดับ 50% ที่กำหนดไว้ตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้” ของทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งจึงพิจารณาว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่มีความเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญในการเรียกร้องค่าทดแทนจากสินทรัพย์ของบริษัท ซึ่งส่งผลให้ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทให้อยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และบริษัทได้ประกาศความประสงค์ในการควบรวมบริษัท ซึ่งขณะนี้ทริสเรทติ้งกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการประเมินการควบรวมนี้ว่าจะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทอย่างไร
ทั้งนี้ การประเมินยังขาดข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างของบริษัทใหม่และทิศทางธุรกิจหลังการควบรวม ทริสเรทติ้งมีข้อสังเกตว่าการควบรวมกิจการในครั้งนี้ยังมีปัจจัยที่ท้าทายอีกมากไม่ว่าจะเป็นการได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น การได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ และการได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดในกลุ่มธุรกิจหลักและมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจต่อไปได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังได้รับการสนับสนุนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์และ China Mobile อย่างต่อเนื่องต่อไปอีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงจนส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วลดต่ำกว่าระดับ 5% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ในขณะที่อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรและมีโครงสร้างเงินทุนที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทยังมีคดีความที่อยู่ในระหว่างดำเนินการอีกบางส่วนที่อาจจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาตัดสิน ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับแรงกดดันในทางลบหากผลสรุปของคดีความเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในทางลบอย่างมีสาระสำคัญต่อสถานะทางการเงินของบริษัท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ธ.ค. 64)
Tags: TRUE, ทริสเรทติ้ง, ทรู คอร์ปอเรชั่น