นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) เปิดเผยว่า ทริสเรทติ้งล่าสุดคงอันดับเครดิตองค์กรของ TK ที่ระดับ BBB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิตคงที่ หรือ “Stable”
ปัจจัยสำคัญในการกำหนดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะฐานทุนที่แข็งแกร่ง และสภาพคล่องที่เข้มแข็งของ TK โดยทริสเรทติ้งได้ประเมินระดับฐานทุนของบริษัทฯ ให้อยู่ในระดับที่ “แข็งแกร่งมาก” และคาดว่าจะคงอยู่ในระดับดังกล่าวในระยะปานกลาง โดยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทเพิ่มจาก 67.1% ณ สิ้นปี 66 เป็น 69.7% ณ สิ้นไตรมาส 1/66 ซึ่งเกิดจากการชะลอการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยคาดว่าบริษัทจะเริ่มกลับมาขยายสินเชื่อหลังแนวทางการควบคุมในธุรกิจเช่าซื้อจากธนาคารแห่งประเทศไทยชัดเจน
ทริสเรตติ้ง ได้ปรับการประเมินแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องของ TK จาก “เพียงพอ” เป็น “แข็งแรง” จากการที่บริษัทฯ มีเงินสดในมือจำนวนมากและมีการก่อหนี้ต่ำ โดยพิจารณาว่าจุดแข็งดังกล่าวจะยังคงต่อเนื่องในปี 66-68 จากแผนธุรกิจที่รัดกุม ซึ่ง ณ เดือนมี.ค. 66 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 2.1 พันล้านบาท และมีเงินกู้จำนวน 353 ล้านบาท ซึ่งทริสเรตติ้งเชื่อว่า TK จะมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการเติบโตในประเทศใน 2-3 ปีข้างหน้า ด้านธุรกิจต่างประเทศทั้ง Suosdey Finance ในกัมพูชาและ Sabaidee Leasing ใน สปป.ลาว ณ มี.ค. 66 TK มีเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 3.8 พันล้านบาทจากสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อเสริมสภาพคล่องและเป็นแหล่งเงินทุน
“ผลการจัดอันดับของทริสเรตติ้งล่าสุดในปี 66 นี้ เป็นการยืนยันการกำหนดทิศทางในการดำเนินธุรกิจของ TK ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจมากว่า 50 ปี ในการวางกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตลาด สภาพเศรษฐกิจ สถานการณ์ต่างๆ และปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่เหนือการควบคุม ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว TK เลือกใช้กลยุทธ์การให้สินเชื่ออย่างระมัดระวัง เข้มงวดในปล่อยสินเชื่อ บริหารคุณภาพลูกหนี้ในพอร์ตเช่าซื้อ คงระดับหนี้เสีย และบริหารฐานทุนให้แข็งแรง เน้นการถือเงินสดให้พร้อมขยายตลาดทันในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน” นางสาวปฐมา กล่าว
นายประพล พรประภา กรรมการและรองผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) กล่าวว่า ทริสเรทติ้งได้คาดการณ์ว่าบริษัท จะยังคงแผนธุรกิจที่เน้นความระมัดระวังในปี 66 และค่อยๆกลับมาขยายสินเชื่อในปี 67-68 โดยคาดว่าสินเชื่อคงค้างของบริษัทจะเติบโต 15-20% ต่อปีในช่วงปีดังกล่าว ซึ่งจะทำให้สินเชื่อคงค้างในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 พันล้านบาท ภายในปี 68 ในขณะที่ความสามารถในการควบคุมต้นทุนทางด้านเครดิตและค่าใช้จ่ายในการบริหารจะเป็นปัจจัยหลักของบริษัท ในการคงความสามารถในการทำกำไร และทริสเรทติ้งยังคาดว่าความสามารถในการทำกำไรในต่างประเทศของบริษัท จะยังคงมากกว่าตลาดในประเทศ จากผลตอบแทนและรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าที่สามารถชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นได้
การคาดการณ์ของทริสเรตติ้งสอดคล้องกับมุมมองของ TK ในการวางกลยุทธ์ด้านการขยายพอร์ตเช่าซื้อ ประกอบกับข้อมูลแนวโน้มหนี้เสียธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ไตรมาส 1/66 จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจาก 86.3% เป็น 90.6% ต่อจีดีพี ในไตรมาส 1/66 ด้าน “พิโกไฟแนนซ์” ล่าสุดรายงานยอดค้างชำระเกิน 3 เดือน ณ มี.ค. 66 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 20.84% จากเดิมเดือนมี.ค. 66 ที่ 18.27%
นอกจากนี้ในเดือนก.ค. 66 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% สูงที่สุดในรอบ 22 ปี ส่วนในสหภาพยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 3.5% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 44 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 0.25% เป็น 2.25% ในต้นเดือนส.ค. 66 ซึ่งพิจารณาจากสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ในปีนี้ TK จะยังคงเดินหน้าในการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อรักษาคุณภาพลูกหนี้ โดยในไตรมาส 2/2566 หนี้เสียรวมในพอร์ตเช่าซื้อของ TK ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาส 1/66
ในช่วง 6 เดือนแรก ของปี 66 ตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับ ตลาดเช่าซื้อฯ ในต่างประเทศที่ TK ดำเนินธุรกิจอยู่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทันทีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อฯ TK ก็จะพร้อมเดินหน้าปรับกลยุทธ์และบริหารจัดการธุรกิจให้สอดรับ โดยพร้อมนำเงินสดที่เป็นฐานทุนในมือมาใช้ขยายตลาด ให้พอร์ตเช่าซื้อในประเทศเติบโตมากกว่าที่เป็นอยู่ในทันที ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าความเชี่ยวชาญ ความเข้าใจตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และการมีประสบการณ์ในธุรกิจมากว่า 50 ปี ประกอบกับฐานทุนที่แข็งแกร่งมาก จะทำให้เป็นข้อได้เปรียบสำคัญในการแข่งขันและเติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ในระยะกลางและระยะยาว ภายใต้บริบทของการแข่งขันใหม่ ด้วย การเดินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่าง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 66)
Tags: TK, ฐิติกร, ทริสเรทติ้ง, ปฐมา พรประภา, หุ้นไทย