ทริสจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่ TRUE วงเงิน 1.8 หมื่นลบ.ที่ A+ แนวโน้ม Stable

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.8 หมื่นล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 10 ปีของ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ที่ระดับ “A+” โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A+” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable” หรือ “คงที่”

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมแบบไร้สาย ตลอดจนความแข็งแกร่งของโครงข่ายในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ จำนวนคลื่นความถี่ในการให้บริการที่หลากหลาย และการมีแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการผสานพลังทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการ รวมถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่จะสมเหตุสมผลมากขึ้นและความเสี่ยงในการรวมกิจการจะน้อยลงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากโครงสร้างเงินทุนที่มีภาระหนี้สูงของบริษัท

ผลการดำเนินงานของบริษัทสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยในไตรมาสแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 5.17 หมื่นล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนผลการดำเนินงานที่ดีจากทุกธุรกิจหลักของบริษัท ในขณะที่บริษัทมี EBITDA ที่ระดับ 2.51 หมื่นล้านบาท โดยมีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้รวม (EBITDA Margin) อยู่ที่ระดับ 48.5% และมีเงินทุนจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 1.91 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และขาดทุนจากการยกเลิกสัญญาเช่าที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 766 ล้านบาท

บริษัทยังคงมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในธุรกิจบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่จำนวน 51.1 ล้านราย ณ เดือนมีนาคม 2567 ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (Average Revenue per User — ARPU) ของอุตสาหกรรมก็ปรับเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าในระบบรายเดือน (Postpaid) จากอุปสงค์การใช้ข้อมูลที่มากขึ้น สำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บริษัทมีลูกค้าจำนวน 3.7 ล้านราย ลดลงจาก 3.8 ล้านราย ณ เดือนธันวาคม 2566

อย่างไรก็ตาม ระดับ ARPU ในธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการให้ส่วนลดน้อยลงและการใช้กลยุทธ์ที่เน้นคุณภาพของลูกค้า รวมถึงการแข่งขันในตลาดที่สมเหตุสมผลมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ในส่วนของบริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกนั้น มีการฟื้นตัวของรายได้จากกิจกรรมดนตรีและความบันเทิง

ทริสเรทติ้งยังคงคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยจะได้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านประสิทธิผลในการใช้ต้นทุนและประโยชน์อื่น ๆ จากการผสานพลังทางธุรกิจ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ในช่วงระหว่าง 2.03-2.05 แสนล้านบาทต่อปี ในขณะที่ คาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 9.0-9.7 หมื่นล้านบาทต่อปีและ EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 45%-47% อีกทั้ง ยังคาดว่ากระแสเงินสดจะปรับตัวดีขึ้นโดยมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ในช่วง 6.7-7.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินทางการเงินในระดับสูงของบริษัท กล่าวคือ ณ เดือนมีนาคม 2567 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่จำนวน 5.12 แสนล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 85.7% ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่า ภาระหนี้สินของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงแต่จะค่อย ๆ ลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากเงินลงทุนที่จำเป็นสำหรับการรวมโครงข่ายรวมถึงภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่และความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น

ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินลงทุนของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนควบรวมกิจการ โดยจะเหลือประมาณ 3.0-3.5 หมื่นล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ บริษัทจะมีภาระในการจ่ายชำระค่าใบอนุญาตอีกปีละประมาณ 1.0-1.8 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4.5-6.0 เท่าในระหว่างปี 2567-2569 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะอยู่ในช่วง 13%-16% ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 83%-85% ในช่วงประมาณการ

ณ เดือนมีนาคม 2567 หนี้สินรวมของบริษัทซึ่งไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่าและภาระหนี้สินจากค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่อยู่ที่จำนวน 3.67 แสนล้านบาท บริษัทยังคงพึ่งพาแหล่งที่มาของเงินทุนจากหุ้นกู้เป็นหลักซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของหนี้สินรวมของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนในสัดส่วนประมาณ 28% ของหนี้สินรวม

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดโทรคมนาคมในประเทศเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้าโดยที่ EBITDA และหนี้สินทางการเงินจะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดในระยะใกล้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทแสดงให้เห็นถึงการบูรณาการทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จซึ่งจะส่งผลทำให้มีระดับ EBITDA สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือหากบริษัทสามารถลดภาระหนี้สินลงได้อย่างมีสาระสำคัญ หรือมีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 10% อย่างต่อเนื่อง

บริษัทยังมีคดีความอีกหลายคดีที่จะต้องใช้เวลาในการพิจารณาตัดสิน ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับแรงกดดันในทางลบหากผลสรุปของคดีความเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในทางลบอย่างมีสาระสำคัญต่อสถานะทางการเงินของบริษัท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ค. 67)

Tags: , , ,