ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวลง โดยตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นเกาหลีใต้ร่วงนำจากปัจจัยลบด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
- ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 28,232.32 จุด ลดลง 265.88 จุด หรือ -0.93%
- และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 25,066.05 จุด ลดลง 259.04 จุด หรือ -1.02%
ตลาดถูกกดดันหลังสัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นทะลุระดับ 80 ดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น แต่การผลิตน้ำมันกลับชะลอตัวลงเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ดี ในระหว่างการซื้อขายช่วงบ่ายวันนี้ตามเวลาในเอเชีย สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลงมาอยู่ที่ 80.40 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. อยู่ที่ 83.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาความเคลื่อนไหวของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของจีน หลังผู้ถือหุ้นกู้บางรายเปิดเผยว่า พวกเขายังไม่ได้รับดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 ชุดที่ครบกำหนดจ่ายเมื่อวานนี้ (11 ต.ค.) ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่า วิกฤตหนี้สินของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ทวีความรุนแรงขึ้น
นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของเอเวอร์แกรนด์เปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า พวกเขายังไม่ได้รับดอกเบี้ย 9.5% ของหุ้นกู้ที่มีกำหนดไถ่ถอนในปี 2565 และดอกเบี้ย 10% ของหุ้นกู้ที่มีกำหนดไถ่ถอนในปี 2566 ณ เวลา 17.00 น.ตามเวลาฮ่องกงเมื่อวานนี้ โดยเมื่อนับรวมอัตราดอกเบี้ย 10.5% ของหุ้นกู้ชุดที่ 3 ที่มีกำหนดไถ่ถอนในปี 2567 แล้ว อัตราดอกเบี้ยรวมที่เอเวอร์แกรนด์จะต้องจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเมื่อวานนี้มีมูลค่าสูงถึง 148 ล้านดอลลาร์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ต.ค. 64)
Tags: ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นเอเชีย, น้ำมันดิบ, ราคาน้ำมัน, เอเวอร์แกรนด์, ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป