สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานวันนี้ (13 มี.ค.) โดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเตรียมปรับเกณฑ์การลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงหุ้นราคาแพงได้ง่ายขึ้น โดยกำลังพิจารณาลดจำนวนหุ้นขั้นต่ำที่ต้องซื้อในแต่ละครั้ง
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท Hong Kong Exchanges & Clearing Ltd. (HKEX) ซึ่งเป็นผู้บริหารตลาดหุ้นฮ่องกง ได้จัดประชุมหารือกับกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ถึงแนวทางปรับลดจำนวนหุ้นขั้นต่ำต่อการซื้อขาย หรือ “บอร์ดล็อต” (board lot) ซึ่งปัจจุบันแต่ละบริษัทจดทะเบียนกำหนดเองได้ตั้งแต่ล็อตละ 100 ถึงหลายพันหุ้น ต่างจากตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ที่กำหนดมาตรฐานไว้ที่ล็อตละ 100 หุ้น และบางกรณีอาจต่ำถึงหนึ่งหุ้น
ปัญหาสำคัญในปัจจุบันคือ หุ้นราคาแพงหลายตัวต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก เช่น การซื้อหุ้นบีวายดี (BYD) บริษัทรถยนต์ชั้นนำของจีน กำหนดให้ต้องซื้อขั้นต่ำล็อตละ 500 หุ้น ทำให้ต้องใช้เงินถึง 177,500 ดอลลาร์ฮ่องกง (22,848 ดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนหุ้นเอชเอสบีซี (HSBC) และอาลีบาบา (Alibaba) กำหนดไว้ที่ล็อตละ 400 หุ้น และ 100 หุ้นตามลำดับ
แม้ปัจจุบันนักลงทุนสามารถซื้อหุ้นไม่ครบล็อตได้ แต่ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่าปกติ เนื่องจากข้อจำกัดของระบบ เจ้าหน้าที่จึงกำลังพิจารณาให้ตลาดหลักทรัพย์ปรับให้การซื้อ 1 หุ้นมีค่าธรรมเนียมเท่ากับการซื้อเต็มล็อต เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่นักลงทุนรายย่อย โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์อนุพันธ์และการชำระราคาทั้งระบบ
อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์หลายรายกังวลว่า การเปิดให้ซื้อขาย 1 หุ้นจะเพิ่มภาระต้นทุน เพราะระบบซื้อขายของฮ่องกงในปัจจุบันรองรับคำสั่งซื้อขายได้เพียง 2 รายการต่อวินาทีต่อหนึ่งช่องสัญญาณ (throttle) ขณะที่สหรัฐฯ รองรับได้นับพันรายการ หากมีการซื้อขาย 1 หุ้นมากขึ้น โบรกเกอร์จะต้องซื้อช่องสัญญาณเพิ่ม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อช่องสัญญาณ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มี.ค. 68)
Tags: ตลาดหุ้นฮ่องกง