ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพุธ (13 พ.ย.) โดยดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน หลังถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แม้หุ้นกลุ่มพลังงานบวกขึ้นก็ตาม ขณะที่นักลงทุนยังคงมุ่งความสนใจไปที่การเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 501.59 จุด ลดลง 0.64 จุด หรือ -0.13%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,216.83 จุด ลดลง 10.15 จุด หรือ -0.14%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,003.11 จุด ลดลง 30.53 จุด หรือ -0.16% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,030.33 จุด เพิ่มขึ้น 4.56 จุด หรือ +0.06%
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ส.ค. โดยถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ซึ่งร่วงลง 1.4% และถ่วงตลาดลงมากที่สุด
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มรถยนต์ต่างก็ร่วงลง 1% แต่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 1.3% สวนทางตลาด
สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย ขณะที่เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดเดอร์คาดการณ์ในขณะนี้ว่า มีโอกาส 79% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนธ.ค. ลดลงจาก 84% ที่คาดไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากนักลงทุนประเมินแนวโน้มการปรับขึ้นภาษีศุลกากร หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ฟรองซัวส์ วิลเลรอย เดอ กาลโฮ ประธานธนาคารกลางฝรั่งเศสและสมาชิกธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเสี่ยงที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ อีกครั้ง และจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมครั้งล่าสุดของ ECB ซึ่งมีกำหนดจะเผยแพร่ในวันพฤหัสบดีนี้ (14 พ.ย.)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 67)
Tags: ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นยุโรป