ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก รับผลประกอบการแกร่ง-โฟกัสเจรจาสันติภาพยูเครน

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (13 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นหลังจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีอย่างซีเมนส์ (Siemens) นอกจากนี้ บรรยากาศการลงทุนยังได้รับแรงหนุนจากสัญญาณที่บ่งชี้ว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ดำเนินมานานเกือบสามปีอาจสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้

  • ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 553.75 จุด เพิ่มขึ้น 5.97 จุด หรือ +1.09%
  • ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,164.11 จุด เพิ่มขึ้น 121.92 จุด หรือ +1.52%,
  • ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,612.02 จุด เพิ่มขึ้น 463.99 จุด, +2.09% และ
  • ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,764.72 จุด ลดลง 42.72 จุด หรือ -0.49%

หุ้นซีเมนส์ (Siemens) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นตัวชี้วัดสภาวะของภาคอุตสาหกรรมโดยรวม ปรับตัวขึ้น 7.2% หลังจากเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ บริษัทยังชี้ให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของความต้องการจากลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์

หุ้นกลุ่มยานยนต์นำตลาดพุ่งขึ้น 4.4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวมากที่สุดในรอบ 1 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นของมิชลิน (Michelin) ที่พุ่งขึ้น 4.9% หลังจากผู้ผลิตยางรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศสรายงานผลประกอบการทั้งปีที่ดีกว่าคาดการณ์

หุ้นเนสท์เล่ (Nestle) พุ่งขึ้น 6.2% หลังจากผู้ผลิตกาแฟเนสกาแฟรายงานการเติบโตของยอดขายประจำปีที่ดีกว่าคาดการณ์

ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอาจใกล้จะมีข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน แม้ว่ายูเครนและพันธมิตรยุโรปกังวลว่าอาจถูกกันออกจากการเจรจาสันติภาพก็ตาม

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ปรับตัวขึ้น 1% เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ยุโรปอาจเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม

ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาแผนการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเปิดเผยมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยุโรปให้คำมั่นว่าจะดำเนินการตอบโต้เช่นกัน

ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้น 9% แล้วนับตั้งแต่ต้นไตรมาสแรก โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเร็วขึ้น และเงินยูโรที่อ่อนค่าลงอาจเป็นผลดีต่อบริษัทที่เน้นการส่งออก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.พ. 68)

Tags: ,