ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัวในวันพฤหัสบดี (6 มี.ค.) หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามคาด ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่เพิ่มขึ้นกดดันตลาด
- ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 555.90 จุด ลดลง 0.19 จุด หรือ -0.03%
- ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,197.67 จุด เพิ่มขึ้น 23.92 จุด หรือ +0.29%,
- ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,419.48 จุด เพิ่มขึ้น 338.45 จุด หรือ +1.47% และ
- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,682.84 จุด ลดลง 73.00 จุด หรือ -0.83%
ดัชนี STOXX 600 ฟื้นตัวขึ้นจากที่ร่วงลง 0.9% และปิดตลาดทรงตัว
ECB ลดดอกเบี้ยตามคาดและส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เนื่องจากเงินเฟ้อกลับสู่ระดับปกติ แม้ว่ายุโรปเผชิญกับความเสี่ยงจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และแผนเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ
ECB มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ ECB เริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. 2567
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 2.50% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 2.90% ส่วนอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์อยู่ที่ระดับ 2.65%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 0.8% ทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่ถูกกดดันจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นธนาคารของอังกฤษ โดยหากไม่นับรวมสหราชอาณาจักร ดัชนีหุ้นธนาคารยุโรปปรับตัวขึ้น 2.6% ขณะที่ดัชนีหุ้นธนาคารในตลาดลอนดอนลดลง 2.7%
หุ้นกลุ่มก่อสร้างและวัสดุ และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่ได้แรงหนุนมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 2.2% และ 0.9% ตามลำดับ
พรรคร่วมรัฐบาลที่คาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลเยอรมนีชุดใหม่บรรลุข้อตกลงเมื่อวันอังคารที่จะจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500,000 ล้านยูโร และปรับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการกู้ยืม ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเพิ่มขึ้นทั่วทั้งตลาด เนื่องจากคาดว่าจะมีการออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีอายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 2.835% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2566
การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรกดดันหุ้นในกลุ่มที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวลงมากที่สุดที่ 2.7% ขณะที่กลุ่มเฮลท์แคร์ร่วง 1.2%
นักลงทุนยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับนโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ซึ่งกำหนดภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่น ๆ จากยุโรป แต่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับการบังคับใช้
อย่างไรก็ตาม มีการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ที่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา โดยทรัมป์ระบุว่าเขาพร้อมพิจารณาการยกเว้นเพิ่มเติม ซึ่งช่วยสร้างความหวังว่าภาษีอาจไม่เข้มงวดนัก
ดัชนีหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนปรับตัวขึ้น 2.1% โดยหุ้นโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) พุ่งขึ้น 3.9%, บีเอ็มดับเบิลยู (BMW) พุ่ง 4.3% และสเตลแลนทิส (Stellantis) พุ่งขึ้น 2.1%
ในบรรดาหุ้นรายตัว หุ้นเมลโรส (Melrose) ร่วงลง 18.2% มากที่สุดในดัชนี STOXX 600 หลังจากเมลโรส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของจีเคเอ็น แอโรสเปซ (GKN Aerospace) คาดการณ์ว่ารายได้ปี 2568 จะต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่
หุ้นดีเอชแอล (DHL) พุ่งขึ้น 14.2% หลังประกาศแผนปลดพนักงานราว 8,000 ตำแหน่งในเยอรมนีปีนี้ หลังรายงานผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปีลดลง 7%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 มี.ค. 68)
Tags: ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นยุโรป