พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ประชุมร่วมตัวแทนสมาคมธนาคารไทย, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อวางแนวทางแก้ปัญหากรณีมีการลักลอบหักเงินจากบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือบัญชีเดบิต ของประชาชนจำนวนมาก
รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า เบื้องต้นมีผู้เสียหายหลักหมื่นคน ซึ่งบางส่วนทยอยเข้าแจ้งความกับตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) และศูนย์ปราบปรามการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศูนย์ PCT) แล้ว ซึ่งหากผู้ใดได้รับความเดือดร้อน สามารถเข้าแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ ก็จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลมาที่ส่วนกลางทันที
สำหรับพฤติกรรมของคนร้าย ลักลอบนำข้อมูลจากบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต จากการซื้อสินค้าออนไลน์ของประชาชน ไปใช้หักเงินจากบัญชีของผู้เสียหาย ซึ่งตำรวจจะร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งเพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาให้ได้ แม้ผู้ก่อเหตุอาจจะเป็นชาวต่างชาติก็จะดำเนินการถึงที่สุดเนื่องจากถือเป็นภัยคุกคามระดับประเทศ
ต่อมาภายหลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 2 ชั่วโมง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ระบุว่า การพูดคุยในวันนี้ได้พูดถึงเรื่องการป้องกันตัดโอกาสไม่ให้มีการกระทำผิดขึ้น รวมถึงการให้ความรู้ ประชาสัมพันธ์ไปในทุกช่องทาง เพื่อลดช่องโอกาสในการตกเป็นเหยื่อ
ในเบื้องต้นตรวจพบมีผู้เสียหายจากผู้ใช้บัตรเครดิต 5,700 ราย ผู้ใช้บัตรเดบิต 4,800 ราย มีมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ทางธนาคารได้รับเป็นผู้เสียหายในกรณีนี้ด้วย โดยธนาคารต่างๆ จะตรวจสอบความผิดปกติในการโอนเงินของบัญชีต่างๆ ควบคู่กับการรับแจ้งจากประชาชนที่ได้รับความเสียหาย เพื่อรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน ส่งให้ตำรวจติดตามหาตัวคนร้ายต่อไป ทำให้ผู้เสียหายไม่ต้องเข้าแจ้งความกับตำรวจ แต่สามารถเข้าติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชีได้โดยตรง
ขณะเดียวกันจะมีการตั้งผู้ประสานงานระหว่างหน่วยงานเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น เชื่อมั่นว่าจะสามารถตามจับคนร้ายได้ แม้จะเป็นชาวต่างชาติ ก็มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือสัญญาต่างตอบแทน แต่เบื้องต้นขอให้รู้ตัวคนร้ายให้แน่ชัดก่อน
นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ระบบธนาคารมีความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งในส่วนของการเยียวยา กรณีที่ผู้เสียหาย ได้รับผลกระทบจากบัตรเดบิตจะได้รับการคืนเงินภายใน 5 วันทำการ ส่วนบัตรเครดิต ธนาคารจะยกเลิกรายการดังกล่าว ผู้เสียหายไม่ต้องชำระเงินตามยอดเรียกเก็บที่ผิดปกติ โดยทางธนาคารพร้อมรับผิดชอบคืนเงินให้ผู้เสียหายทุกกรณี ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบความเสียหายแล้วจะติดต่อกลับไปยังผู้เสียหายเพื่อคืนเงินต่อไป
นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า กรณีนี้คนร้ายใช้ช่องโหว่ของการอำนวยความสะดวกด้านการทำธุรกรรมทางการเงิน ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ สร้างความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งมีหลายวิธีการ จากการตรวจสอบพบแล้ว 5 วิธีการ แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ทั้งหมด เพราะอาจเป็นการชี้ช่องให้มิจฉาชีพนำไปใช้ได้ โดยจากนี้ ทางธปท.และธนาคารต่างๆ จะมีการปรับปรุงระบบให้ดีที่สุด
นายธวัช ไทรราหู ประธานชมรมตรวจสอบและป้องกันการทุจริต ธนาคารยูโอบี กล่าวถึงข้อกังวลของประชาชนบางส่วน ที่อาจไม่เคยทำบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต แต่ถูกหักเงินในบัญชีไป โดยยืนยันว่า ไม่ได้เกิดจากแอปดูดเงินอย่างที่มีข้อกังวล ส่วนกรณีนี้ มีการนำข้อมูลของบัตรเครดิต และบัตรเดบิต ไปสร้างความเสียหายให้กับประชาชน โดยเฉพาะ บัตรเดบิต ที่มีการผูกไว้กับบัญชีเงินฝากของประชาชน เมื่อมีการถูกตัดเงิน จึงเกิดผลกระทบทันที แต่กรณีที่ผู้เสียหายไม่เคยผูกบัญชีไว้กับการใช้จ่ายใดๆนั้น ก็อาจได้รับผลจากการใช้บริการร้านค้าออนไลน์บางประเภทได้ เช่น การซื้อสติ๊กเกอร์ไลน์ผ่านร้านค้า, การเช่าเว็บไซต์ หรือ การได้สิทธิเข้าเล่นเกมรายครั้ง ซึ่งจากนี้ ต้องเดินหน้าให้ความรู้กับประชาชนมากขึ้น
ด้าน ตัวแทนปปง. กล่าวว่า ทาง ปปง. มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก ทำให้สามารถร่วมกับธปท. และธนาคารต่าง ๆ ตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน ย้อนกลับไปหาตัวคนร้ายได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ต.ค. 64)
Tags: ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธปท., ปปง., ศูนย์ PCT, สมาคมธนาคารไทย, สอท.