ดาวโจนส์ปิดร่วง 461.68 จุด ตื่นข่าวสหรัฐพบโอไมครอนรายแรก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลงกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกเกี่ยวกับข่าวการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในสหรัฐ โดยหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มโรมแรมร่วงลงทันทีจากรายงานข่าวดังกล่าว

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,022.04 จุด ลดลง 461.68 จุด หรือ -1.34%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,513.04 จุด ลดลง 53.96 จุด หรือ -1.18% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,254.05 จุด ลดลง 283.64 จุด หรือ -1.83

ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐยืนยันว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในสหรัฐเมื่อวานนี้ (1 ธ.ค.) โดยผู้ติดเชื้อรายนี้เดินทางกลับจากแอฟริกาใต้ และได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว แต่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์

ทางด้านนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น จึงจะทราบว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนสามารถแพร่ระบาดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ง่ายเพียงใด, ไวรัสจะก่อให้เกิดโรคที่รุนแรงมากเพียงใด และไวรัสสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่

หุ้นกลุ่มสายการบิน,กลุ่มเรือสำราญ และกลุ่มโรงแรม ร่วงลงทันทีหลังมีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโอไมครอนรายแรกในสหรัฐ โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วงลง 7.94% หุ้นเดลตา แอร์ไลน์ ดิ่งลง 7.38% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 7.57% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ร่วงลง 6.98% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ร่วงลง 8.13% หุ้นไฮแอท โฮเทลส์ คอร์ปอเรชั่น ลดลง 1.19% หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วงลง 3.43% หุ้นฮิลตัน เวิลด์ไวด์ โฮลดิ้ง ร่วงลง 3.78%

หุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกถูกเทขายเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโอไมครอนเช่นกัน โดยหุ้นวอลมาร์ท ร่วงลง 2.47% หุ้นเบสต์บาย ดิ่งลง 4.23% หุ้นเมซีส์ ร่วงลง 4.63% หุ้นทาร์เก็ต ลดลง 1.46% หุ้นนอร์ดสตรอม ดิ่งลง 5.38%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 2.55% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ (เฟซบุ๊ก) ดิ่งลง 4.27% หุ้นแอปเปิล ลดลง 0.32% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 3.76%

หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ปรับตัวลง 0.56% หลังจากคณะกรรมการที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นบุคคลภายนอก ลงมติอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์คในการรักษาโรคโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯมีมติด้วยคะแนนเฉียดฉิว คือ 13 ต่อ 10 เสียง เนื่องจากมีกรรมการหลายคนแนะนำให้ทบทวนการใช้ยาดังกล่าวเป็นกรณีฉุกเฉิน หรืออาจถึงขั้นถอนการอนุมัติการใช้ยา หากพบว่ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าในการรักษา

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 61.1 ในเดือนพ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 61.0 จากระดับ 60.8 ในเดือนต.ค.

ทางด้านออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 534,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 506,000 ตำแหน่ง แต่ต่ำกว่าระดับ 570,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย.ในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะพุ่งขึ้น 581,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ธ.ค. 64)

Tags: , , ,