ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (21 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยความกังวลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเป็นวงกว้าง ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
- ดัชนีเฉลี่ยอุตหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,070.42 จุด ลดลง 370.46 จุด ลดลง -1.08%,
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,330.00 จุด ลดลง 72.20 จุด หรือ -1.64% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,223.98 จุด ลดลง 245.14 จุด หรือ -1.82%
ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลงกว่า 1% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวภายหลังการประชุมเมื่อวันพุธ (20 ก.ย.) ว่า การที่เฟดจะสามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ได้นั้น อาจต้องใช้เวลาอีกนาน นอกจากนี้ นายพาวเวลยอมรับว่า แม้มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะอยู่ในภาวะซอฟต์แลนดิง แต่เส้นทางที่จะไปถึงจุดนั้นเริ่มแคบลงและอาจต้องใช้เวลานาน
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ และส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2567 จากเดิมที่เฟดคาดการณ์ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในปีหน้า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าที่คาดไว้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานาน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 20,000 ราย สู่ระดับ 201,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2566 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 225,000 ราย
ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ในการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐนั้น สมาชิกสภายังคงมีความเห็นต่างในหลายประเด็น ซึ่งรวมถึงประเด็นการใช้จ่ายด้านกลาโหม โดยสภาคองเกรสมีเวลาจนถึงวันที่ 30 ก.ย.นี้ ในการผ่านร่างกฏหมายดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐต้องปิดทำการหรือชัตดาวน์
หุ้นบริษัทเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ร่วงลงอย่างหนัก และได้ฉุดดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้ โดยหุ้นอะเมซอน ร่วงลง 4.41% หุ้นอินวิเดีย ดิ่งลง 2.9% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.47%
หุ้นบรอดคอม ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.7% หลังจากมีรายงานว่าผู้บริหารของบริษัทกูเกิลได้หารือกันเกี่ยวกับการยกเลิกให้บริษัทบรอดคอมเป็นผู้จัดหาชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเร็วที่สุดในปี 2570
หุ้นเฟดเอ็กซ์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรที่สูงเกินคาด
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 0.7% สู่ระดับ 4.04 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.10 ล้านยูนิต
ขณะที่ Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ลดลง 0.4% ในเดือนส.ค. โดยดัชนี LEI ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า โดยได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง และภาวะสินเชื่อที่ตึงตัว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ย. 66)
Tags: dowjones, ดาวโจนส์, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก