ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ (14 มี.ค.) หลังจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นราคาถูกในช่วงสิ้นสุดสัปดาห์ที่ผันผวนซึ่งเกิดจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและทำให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลดลง
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,488.19 จุด เพิ่มขึ้น 674.62 จุด หรือ +1.65%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,638.94 จุด เพิ่มขึ้น 117.42 จุด หรือ +2.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,754.09 จุด เพิ่มขึ้น 451.07 จุด หรือ +2.61%
แรงซื้อทั่วตลาดช่วยหนุนให้ดัชนีหลักทั้ง 3 ตัวของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ถูกเทขายอย่างหนักก่อนหน้านี้สามารถฟื้นตัวขึ้นได้
หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ซึ่งเป็นหุ้น 7 บริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่างปรับตัวขึ้นทั้งหมด แม้ว่า 6 ตัวในกลุ่มนี้ยังคงติดลบในปีนี้ก็ตาม
ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นในวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย.ซึ่งเป็นวันหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
หุ้นกลุ่มหุ้นเซมิคอนดักเตอร์พุ่งขึ้น 3.3% ขณะที่หุ้นกลุ่ม FANG ซึ่งเป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ประกอบไปด้วยหุ้นเฟซบุ๊ก (Facebook), หุ้นอะเมซอน (Amazon.com), หุ้นเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) และหุ้นกูเกิล (Google) พุ่งขึ้น 3.2%
รอสส์ เมย์ฟิลด์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนจากบริษัทแบร์ด (Baird) ในเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกีกล่าวว่า “ผมไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นแรงขนาดนี้ เราปรับตัวลงมา 10% จากจุดสูงสุดตลอดกาลและอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (oversold) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ดีสำหรับการทะยานขึ้น แม้ว่ายังมีปัญหาด้านปัจจัยพื้นฐานก็ตาม”
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ก็ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ก็ยังคงลดลงต่อจากสัปดาห์ก่อน
ปัจจัยบวกจากข้อมูลเงินเฟ้อที่ออกมาในวันพุธและพฤหัสบดีได้ถูกบดบังด้วยความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งรวมถึงการขู่ขึ้นภาษีกับคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้นักลงทุนหนีออกจากตลาดหุ้นไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำซึ่งราคาพุ่งทะลุระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เป็นครั้งแรก
เจด เอลเลอร์โบรค ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอจากบริษัทอาร์เจน แคปิทัล (Argent Capital) ในเมืองเซนต์หลุยส์กล่าวว่า “ตลาดไม่ชอบประเด็นเรื่องภาษี ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอน ทำให้การวางแผนและการตัดสินใจลำบากขึ้น ทรัมป์กำลังสร้างความปั่นป่วน ที่ปรึกษาของเขาพูดถึงการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ บ้างก็บอกว่าอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรืออาจไม่เกิด มันเป็นความไม่แน่นอนที่สร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น”
ความวิตกกังวลนี้สะท้อนให้เห็นในรายงานของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งระบุว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับที่แย่ที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะ 1 ปีข้างหน้าพุ่งขึ้นเป็น 4.9%
รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับผลสำรวจล่าสุดของรอยเตอร์/อิปซอสส์ (Reuters/Ipsos) ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 มี.ค. โดยพบว่า 57% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า นโยบายของทรัมป์จะสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P 500 ปิดบวก นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเพิ่มขึ้น 3.0%
ส่วนหุ้นรายตัวนั้น หุ้นเทสลา (Tesla) พุ่งขึ้น 3.9% หลังมีรายงานว่าบริษัทมีแผนผลิตรถยนต์ Model Y รุ่นต้นทุนต่ำในเซี่ยงไฮ้ เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดคืนหลังเจอสงครามราคาในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของบริษัท
หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) พุ่งขึ้น 5.3% ก่อนการประชุม GPU Technology Conference (GTC) ในสัปดาห์หน้า ซึ่งนักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งสำคัญของ เจนเซน หวง ซีอีโอของบริษัท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 มี.ค. 68)
Tags: ดาวโจนส์, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก