ดาวโจนส์ปิดบวก 66.69 จุด หุ้นเทคโนโลยีพุ่งหนุนตลาด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (23 ธ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง หรือ “Magnificent Seven” ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายในตลาดที่เบาบาง เนื่องจากใกล้ถึงวันหยุดในเทศกาลคริสต์มาส

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,906.95 จุด เพิ่มขึ้น 66.69 จุด หรือ +0.16%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,974.07 จุด เพิ่มขึ้น 43.22 จุด หรือ +0.73% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,764.89 จุด เพิ่มขึ้น 192.29 จุด หรือ +0.98%

ในช่วงแรก ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 300 จุด หลังจาก Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ร่วงลงสู่ระดับ 104.7 ในเดือนธ.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 113.8 จากระดับ 112.8 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ เป็นการสำรวจความเชื่อมั่นที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและในช่วง 6 เดือนข้างหน้า รวมทั้งสถานะการเงินส่วนบุคคล และการจ้างงาน

อย่างไรก็ดี ความแข็งแกร่งของหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม “Magnificent Seven” เป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์ และ Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 และช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ปิดบวกติดต่อกันวันที่ 2 โดยหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ทะยานขึ้น 3.7% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส (Meta Platforms) พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นเทสลา (Tesla) ดีดตัวขึ้น 2.2% ส่วนหุ้นอะเมซอน (Amazon) หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) และหุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) ปิดในแดนบวกเช่นกัน

ส่วนปริมาณการซื้อขายในวันจันทร์อยู่ที่ 1.276 หมื่นล้านหุ้น ลดลงจากค่าเฉลี่ย 1.489 หมื่นล้านหุ้นในช่วง 20 วันทำการก่อนหน้านี้ เนื่องจากใกล้ถึงวันหยุด โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กจะเปิดการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันนี้ (24 ธ.ค.) ก่อนที่จะปิดทำการในวันพุธที่ 25 ธ.ค. เนื่องในเทศกาลคริสต์มาส

ในช่วงที่ผ่านมา ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยหลังจากตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ตลาดก็ร่วงลงอย่างหนักในเดือนนี้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีหน้า จากเดิมที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดลง 4 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตลาดหุ้นนิวยอร์กกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งตามสถิติ โดยข้อมูลจาก Stock Trader’s Almanac ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2512 การซื้อขายในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปี รวมกับ 2 วันแรกของปีถัดไป ดัชนี S&P500 มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 1.3% ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า “ซานตาคลอส แรลลี่ (Santa Claus Rally)”

หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยี พุ่งขึ้น 1.35% และ 1.26% ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มวัสดุ ปรับตัวลง 0.57% และ 0.12% ตามลำดับ

หุ้นอีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 3.7% หลังจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติการใช้ยาลดน้ำหนัก Zepbound สำหรับรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 5.9% สู่ระดับ 664,000 ยูนิตในเดือนพ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 660,000 ยูนิต จากระดับ 627,000 ยูนิตในเดือนต.ค.

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 1.1% ในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนต.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ธ.ค. 67)

Tags: , , ,