ดาวโจนส์ปิดบวก 4.18 จุด ตลาดหวังทรัมป์ผ่อนคลายนโยบายการค้า

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร (25 มี.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ และยังคงคาดหวังว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะใช้ความยืดหยุ่นมากขึ้นในการดำเนินนโยบายการค้าในสัปดาห์หน้า

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,587.50 จุด เพิ่มขึ้น 4.18 จุด หรือ +0.01%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,776.65 จุด เพิ่มขึ้น 9.08 จุด หรือ +0.16% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,271.86 จุด เพิ่มขึ้น 83.26 จุด หรือ +0.46%

ปธน.ทรัมป์กล่าวเมื่อวันจันทร์ (24 มี.ค.) ว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็ส่งสัญญาณว่า ไม่ใช่ภาษีทั้งหมดจะถูกบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลทรัมป์จะประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff)

นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงไปแล้วประมาณ 2% และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงรายไตรมาสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2566 เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์จะก่อให้เกิดเงินเฟ้อและส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ขณะที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ออกรายงานเตือนในวันอังคารว่า สถานะด้านการคลังของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น และความสามารถในการชำหนี้ลดน้อยลง

Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ลดลง 7.2 จุด สู่ระดับ 92.9 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 จากระดับ 100.1 ในเดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 94.2 เนื่องจากผู้บริโภคกังวลว่านโยบายของปธน.ทรัมป์จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย และทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น

ส่วนการแสดงความเห็นล่าสุดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) นั้น เอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า นโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังคงอยู่ในลักษณะคุมเข้ม แต่ยอมรับว่าเฟดมีความคืบหน้าช้าลงในการทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%

ขณะที่จอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า บริษัทเอกชนและภาคครัวเรือนของสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารพุ่งขึ้น 1.43% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวขึ้น 1% ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.6% ตามด้วยหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 1.29%

หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ดีดตัวขึ้น 1.4% และเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก

หุ้นเทสลา (Tesla) พุ่งขึ้น 3.45% แม้สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) รายงานว่า ส่วนแบ่งตลาดและยอดขายของเทสลาในยุโรปลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนก.พ.

หุ้นคราวด์สไตรก์ (Crowdstrike) ซึ่งเป็นบริษัทดูแลความปลอดภัยด้านไซเบอร์ พุ่งขึ้น 3.3% หลังจากบริษัทโบรกเกอร์ BTIG ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนในหุ้นคราวด์สไตรก์ สู่ระดับ “Buy” จากเดิมที่ระดับ “Neutral’

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มี.ค. 68)

Tags: , , ,