ดัชนีค้าปลีก Q2/66 ยังซึม ตั้งรัฐบาลช้า-หนี้ครัวเรือนสูง-หมดมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำไตรมาส 2/66 พบว่าลดลงมาที่ 47 จุด ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุดทุกองค์ประกอบครั้งแรกในรอบ 15 เดือน

เหตุปัจจัยลบรุมเร้ารอบด้านทั้งความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล, ค่าครองชีพ-หนี้ครัวเรือนสูง, เศรษฐกิจชะลอตัว, มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเดิมหมดลง, ภาครัฐชะลอการเบิกจ่ายเพื่อรอรัฐบาลใหม่, ช่วงโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยว

ขณะที่ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนข้างหน้า (ก.ค.-ก.ย.) คาดว่าจะยังทรงตัว เนื่องจากความไม่มั่นใจในสถานการณ์หลังจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ ที่อาจส่งผลให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index: RSI) ในภาพรวม พบว่า ดัชนี RSI (QoQ) ไตรมาส 2/66 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/66 มีความ น่ากังวล เนื่องจากปรับลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุดทุกองค์ประกอบเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือน

ทั้งนี้ ลดลงทั้งดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth) QoQ, ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) สะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคฐานรากยังอ่อนแอ ภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโดยสาร กดดันให้ผู้บริโภคมุ่งเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็น รวมทั้งยังไม่มีมาตรการใหม่จากรัฐในการกระตุ้นการจับจ่าย

อย่างไรก็ดี การลดลงของดัชนีตามภูมิภาคต่างๆ บ่งบอกถึงธุรกิจยังคงไม่ฟื้นตัว แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในช่วงครึ่งปีแรกราว 12.4 ล้านคนก็ตาม

หากจำแนกตามประเภทร้านค้า พบว่า ความเชื่อมั่นในปัจจุบันปรับลดลงในทุกประเภทร้านค้าโดยร้านค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงไม่ฟื้นตัว ยกเว้นซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมทั้งสินค้าที่มีการจัดโปรโมชั่น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

สำหรับผลสำรวจเกี่ยวกับการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกของผู้ประกอบการ ระหว่างวันที่ 19-26 มิ.ย. 66 มีประเด็นต่างๆ ดังนี้

1. การปรับตัวของธุรกิจในกรณีที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

63% จ้างพนักงานชั่วคราวเพิ่มขึ้น

61% เพิ่มทักษะและหน้าที่ของพนักงาน

59% ลดต้นทุนที่ไม่ใช่ค่าแรง

48% ขึ้นราคาสินค้า

22% ชะลอการลงทุน

22% ใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงาน

15% ปรับสวัสดิการมารวมเป็นค่าจ้าง

13% เลิกจ้างพนักงานบางส่วน

2. มาตรการสำหรับผู้ประกอบการในกรณีที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

78% สนับสนุนมาตรการทางภาษี เช่น ลดภาษีนิติบุคคล หรือนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น

63% ทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นขั้นบันได

59% ลดค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ

3. คาดการณ์การปรับราคาสินค้าใน 3 เดือนข้างหน้า

48% จะปรับราคาสินค้าแต่ไม่เกิน 5%

22% จะยังไม่ปรับราคาสินค้า

17% จะปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 6-10%

9% จะปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 11-15%

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมค้าปลีกครึ่งปีแรกยังไม่สดใสเท่าที่ควร เนื่องจากภาคธุรกิจยังคงต้องเผชิญกับต้นทุนสูง จากทั้งค่าพลังงาน ค่าสาธารณูปโภค และอื่นๆ ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแอ

สมาคมฯ มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลใหม่ชุดใหม่ ในประเด็นต่างๆ ดังนี้

1. สนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วและราบรื่น เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า

2. จัดสรรงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นไปแต่ละกลุ่มเป้าหมาย และไม่ซับซ้อน โดยเพิ่มกำลังซื้อให้กลุ่มฐานราก และเพิ่มการใช้จ่ายในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง รวมทั้งลดขั้นตอนให้สามารถเข้าถึงได้สะดวก

3. ส่งเสริมภาคท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติและคนไทยท่องเที่ยวเมืองไทย เช่น การขยายเวลา Visa on Arrival ให้ต่างชาติพำนักในไทยได้นานขึ้น การเพิ่มความถี่เที่ยวบินมาประเทศไทย รวมถึงมุ่งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเมื่อมาเที่ยวเมืองไทย เป็นต้น

“สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ขอส่งสัญญาณถึงรัฐบาลใหม่ชุดใหม่ที่มีความตั้งใจจะเข้ามาบริหารประเทศ ได้ออกนโนบาย และมาตรการทางเศรษฐกิจที่จะมาพลิกฟื้นความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการ และกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาคึกคัก โดยสมาคมฯ มีความพร้อมและมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างมีเอกภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเข้มแข็ง”

นายฉัตรชัย กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.ค. 66)

Tags: , , , ,