สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวในวันนี้ (11 พ.ค.) ว่า จีนใช้เงินหยวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในการซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ของรัสเซียในช่วงปีที่ผ่านมา โดยการซื้อน้ำมัน ถ่านหิน และโลหะจากรัสเซียเกือบทั้งหมดในปัจจุบันชำระด้วยเงินหยวนแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐ
การเปลี่ยนไปใช้เงินหยวนในการชำระค่าสินค้าโภคภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสงครามยูเครนเป็นตัวช่วยเร่งความมุ่งมั่นของจีนในการทำให้สกุลเงินของตนกลายเป็นสกุลเงินสากล ด้วยการลดการใช้สกุลเงินดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตาม การควบคุมการเคลื่อนย้ายของเงินทุนที่เข้มงวดมีแนวโน้มว่าจะจำกัดการแพร่สะพัดของเงินหยวนทั่วโลกในระยะเวลาอันใกล้นี้
ข้อมูลจากสมาคมเพื่อการโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT) เผยว่า ในเดือนมี.ค. เงินหยวน หรือที่เรียกกันว่า เหรินหมินปี้ (RMB) กลายเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรมข้ามพรมแดนในจีนอย่างแพร่หลาย แซงหน้าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก แม้ว่าสัดส่วนในฐานะสกุลเงินที่ใช้ในการชำระเงินทั่วโลกจะอยู่แค่ระดับ 2.5% ซึ่งน้อยกว่าสกุลดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 39.4% และสกุลเงินยูโรที่ระดับ 35.8%
นายจื้อ ลัว นักกลยุทธ์อาวุโสด้านการลงทุนของ พีเอ็นพี พาริบาส์ แอสเซ็ต แมเนจเมนต์ (BNP Paribas Asset Management) ประจำฮ่องกง คาดการณ์ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่ขยายใหญ่ขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ (snowball effect) ในระยะยาว เนื่องจากมีประเทศต่าง ๆ หลายประเทศที่หันมาใช้เงินหยวนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นมาตรการต่าง ๆ ที่สหรัฐนำมาใช้คว่ำบาตรรัสเซีย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ค. 66)