กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB FM) มองเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาผันผวนสูงจากหลายปัจจัย ในระยะสั้นนี้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองเป็นสำคัญ โดยหากจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว เงินบาทอาจแข็งค่าสู่กรอบ 33.35-33.85 บาท/ดอลลาร์
นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า เงินบาทในช่วงที่ผ่านมาผันผวนสูงขึ้น จากหลายปัจจัย ดังนี้
1. การขึ้นดอกเบี้ยและการสื่อสารของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยล่าสุด แม้จะขึ้นดอกเบี้ยมาที่ 5.50% ตามที่ตลาดคาด แต่ก็ยังไม่บอกว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือไม่ ทำให้นักลงทุนมองว่า Hiking cycle น่าจะจบลง เงินดอลลาร์จึงอ่อนค่า กดดันให้บาทแข็งค่า
2. ราคาทองคำ โดยในเวลาที่ราคาทองคำสูงขึ้น ผู้ค้าทองคำไทยมักขายทองคำในตลาดโลกเพื่อทำกำไร จึงมีการแลกดอลลาร์เป็นเงินบาท กดดันให้บาทแข็งค่า
3. ทิศทางค่าเงินหยวน โดยในเวลาที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาอ่อนแอกว่าคาด เงินหยวนจะอ่อนค่า กดดันบาทอ่อนตาม
4. ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งส่งผลต่อแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ตลาดการเงินไทย
นายแพททริก กล่าวว่า สำหรับในระยะสั้นนี้ สถานการณ์การเมืองไทยจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเงินบาท โดยมองว่าหากการจัดตั้งรัฐบาลทำได้เร็ว เงินบาทก็มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง จากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่น่าจะไหลกลับเข้ามาได้
ทั้งนี้ อาจเห็นเงินทุนไหลเข้าไทยกว่าแสนล้านบาทใน 1 เดือน (คล้ายปี 62) ซึ่งในกรณีนี้ แนะนำให้กลุ่มผู้ส่งออกทยอยขายเงินดอลลาร์สหรัฐที่กรอบ 33.90-34.30 บาท/ดอลลาร์ ส่วนผู้นำเข้าอาจรอซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังมีความแน่นอนในเรื่องนายกรัฐมนตรี โดยมองที่กรอบราว 33.35-33.85 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า หรือเกิดการประท้วงเป็นวงกว้าง เงินทุนอาจไหลออกในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทำให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเร็วได้ อีกทั้งแม้หลังได้นายกฯ เงินทุนก็อาจไหลกลับน้อยกว่ากรณีแรก ทำให้เงินบาทแข็งค่าน้อยกว่า
ดังนั้น จึงแนะนำให้กลุ่มผู้ส่งออกอาจตั้ง Target ขายเงินดอลลาร์สหรัฐที่กรอบราว 34.50-35.20 บาท/ดอลลาร์ ได้ ส่วนกลุ่มผู้นำเข้าอาจพิจารณาซื้อ Forward ที่ราคา spot ราว 34.00 บาท/ดอลลาร์ เพื่อปิดความเสี่ยงเงินบาทอ่อนค่าเร็ว
ด้านอัตราดอกเบี้ย มองว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สัปดาห์หน้า คณะกรรมการน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps มาอยู่ที่ 2.25% โดยแม้เงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่ผ่านมา จะปรับลดลงเร็วและต่ำกว่ากรอบนโยบาย แต่คาดว่า กนง. จะยังขึ้นดอกเบี้ย เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้ออาจกลับมาสูงขึ้นได้
โดยปัจจัยเสี่ยงมาจาก 1. เอลนีโญและมาตรการระงับการส่งออก ที่อาจทำให้ราคาสินค้าเกษตรเร่งตัวขึ้น และ 2. ราคาน้ำมันที่เริ่มกลับมาสูงขึ้น
ดังนั้น จึงแนะนำให้ผู้ที่กังวลว่า กนง.อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อไปถึง 2.50% อาจพิจารณาทำธุรกรรม Pay fixed rate ที่ระดับปัจจุบันราว 2.30-2.35%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ค. 66)
Tags: ธนาคารไทยพาณิชย์, เงินบาท, แพททริก ปูเลีย