คมนาคม จ่อเพิ่มโทษรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ปรับสูงสุด 2 แสนบาท

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน ซึ่งที่ประชุมได้รับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนเกี่ยวกับสภาพปัญหาและแนวทางการแก้ไข โดยข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบ มีรถบรรทุกน้ำหนักเกินจริง และพบว่ายังมีข้อบกพร่องในโครงสร้างและกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมาย จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการร่วมกันเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมในทุกมิติ สามารถป้องกันปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้น ผลักดันการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

โดยแนวทางในการแก้ไขปัญหา จะต้องนำมาปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม สร้างความมั่นใจ และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานทุกขั้นตอนต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ปฏิบัติงานด้วยความสุจริต และปราศจากการทุจริต ซึ่งขอย้ำว่าในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะต้องไม่มีการทุจริต หรือมีส่วยสติกเกอร์ทางหลวงเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน ต้องพิจารณาให้ครอบคลุมในทุกมิติอย่างรอบด้าน ซึ่งเบื้องต้นมี 3 ประเด็นคือ

1. ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยปัจจุบัน พ.ร.บ.ทางหลวงฯ มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจากการวิเคราะห์เห็นว่า ค่าปรับยังต่ำเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการยอมเสี่ยงบรรทุกน้ำหนักเกินผิดกฎหมาย เพราะคุ้มกว่าหากต้องจ่ายค่าปรับ จึงมอบหมายให้กรมทางหลวงดำเนินการแก้กฎหมายโดยปรับปรุงบทลงโทษปรับในอัตราที่สูงขึ้น เบื้องต้นอาจจะปรับเป็น 1-2 แสนบาท โดยจะกำหนดอัตราค่าปรับตามน้ำหนักที่บรรทุกเกินหรือ ปรับแบบขั้นบันได ส่วนโทษจำคุก ให้พิจารณาว่าควรจะมีหรือไม่

“มั่นใจว่า เมื่อเพิ่มโทษค่าปรับให้สูงขึ้น จะทำให้แก้ปัญหาเรื่องบรรทุกน้ำหนักเกินได้ผล ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรถบรรทุกรู้ว่าจะแบกน้ำหนักเกินได้ ดังนั้นตอนเสนอราคาประมูลจึงเสนอราคาที่แบกน้ำหนัก หากต่อจากนี้ กฎหมายเพิ่มโทษแน่นอน และมีการตรวจจับกุมที่เข้มแข็ง ผู้ประกอบการจะเสนอราคาที่ไม่มีการแบกน้ำหนัก จะทำให้ถนนพังช้าลง ซึ่งแต่ละปีรัฐต้องเสียงบประมาณซ่อมบำรุงถนนจำนวนมาก โดยกรมทางหลวง 2.6 หมื่นล้านบาท/ปี กรมทางหลวงชนบท (ทช.) 1.8 หมื่นล้านบาท/ปี หากแก้เรื่องน้ำหนักเกินได้ จะสามารถนำงบประมาณส่วนนี้ไปพัฒนาด้านอื่นได้”

นายสุริยะ กล่าวว่า ที่กำหนดค่าปรับแบบขั้นบันไดเพราะอาจจะมีที่น้ำหนักเกินไม่มาก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเครื่องชั่งไม่เสถียร หรือไม่มีเจตนา แต่กรณี กำหนด 21 ตัน แต่แบกมา 35 ตัน พวกนี้ถือว่าจงใจ

นอกจากนี้ทางตำรวจเสนอให้กำหนดผู้ที่จะถูกปรับให้ชัดเจน เช่น เจ้าของรถ /ผู้ประกอบการ ไม่ใช่ปรับคนขับเพราะสุดท้ายคือไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ คาดว่าจะใช้เวลาในการนำเสนอแก้ไขพ.ร.บ.ทางหลวง ประมาณ 1 ปี เนื่องจากจะต้องเสนอสภาพิจารณาด้วย โดยในระหว่างนี้ ได้เน้นกับผู้ประกอบการเอกชนให้เข้มงวด ห้ามบรรทุกน้ำหนักเกิน

2. เร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบรถบรรทุกน้ำหนักเกิน โดยการเพิ่มความถี่ อัตรากำลัง ยานพาหนะ ในการติดตามตรวจสอบรถบรรทุกน้ำหนักเกินของตำรวจและกรมทางหลวง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอในการติดตามกรณีรถบรรทุกไม่เข้าด่านชั่ง โดยจะเพิ่มยานพาหนะในการติดตามรถฝ่า และเร่งเพิ่มระบบเครื่องชั่งที่สามารถชั่งน้ำหนักได้ในขณะรถวิ่ง (Weight in Motion System ; WIM)

3. นำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน อาทิ การนำเทคโนโลยี AI พร้อมกล้อง CCTV มาช่วยประเมินรถบรรทุกที่มีแนวโน้มบรรทุกน้ำหนักเกิน การบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระบบ GPS ของกรมการขนส่งทางบก ร่วมกับกองบังคับการตำรวจทางหลวง กรมทางหลวงชนบท เพื่อช่วยในการติดตามจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกิน และการบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูล Call Center เรื่องร้องเรียนรถบรรทุกน้ำหนักเกิน

ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งตำรวจจราจรไม่มีอำนาจจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินเนื่องจากพ.ร.บ.ทางหลวงไม่ให้อำนาจไว้ เรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำเรื่องมาที่กระทรวงคมนาคม เพื่อมอบอำนาจให้ทาง บชน.(ตำรวจจราจร) เป็นเจ้าพนักงานในการจับกุมได้ ซึ่งในมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ทางหลวงฯ ที่ให้รมว.คมนาคมมีอำนาจในการแต่งตั้ง โดยลงนามในประกาศในขณะที่ทางกทม.จะติดตั้งเครื่องชั่งน้ำหนักเพิ่มด้วย เชื่อว่า จะแก้ไขปัญหาในกทม.โดยเฉพาะเส้นทางแนวขอบกทม.10 กว่าสายทางที่มีรถบรรทุกวิ่งค่อนข้างมากได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ทางเอกชนเสนอให้ตั้งคณะกรรมร่วมภาครัฐและเอกชน โดยมีกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาในระยะยาว จะสนับสนุนให้ใช้การขนส่งทางรางมากขึ้นหลังจากการก่อสร้างรถไฟทางคู่แล้วเสร็จ เนื่องจากมีค่าขนส่งที่ถูกกว่า

“เชื่อว่ามาตรการโดยเฉพาะการเพิ่มค่าปรับให้สูง ซึ่งหลายประเทศใช้นั้นจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ ส่วนส่วยสติ๊กเกอร์ ก็เชื่อว่าจะแก้ได้เช่นกัน เพราะทางตำรวจมีส่วนแบ่งค่าปรับที่มากขึ้น กว่าเดิมเป็นแรงจูงใจ”

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า ตามพ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2549 กรณีน้ำหนักบรรทุก กำหนดบทลงโทษไว้ใน 2 มาตรา คือมาตรา 61 “รถจะต้องน้ำหนักไม่เกินกว่าที่กำหนด และมาตรา 73/2 กำหนดบทลงโทษกรณีฝ่าฝืน ค่าปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุก 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งแนวทางคือการแก้มาตรา 73/2 คือเพิ่มบทปรับให้สูงขึ้น ส่วนจะเป็นเท่าไรจะมีการหารือร่วมกันต่อไป

สำหรับการเพิ่มค่าปรับนั้น เดิมกรมทางหลวงเคยมีการศึกษาไว้เมื่อปี 2557 ช่วงที่เกิดกรณีการเพิ่มน้ำหนักรถบรรทุกพ่วง จาก50.5 ตันเป็น 56 ตัน โดยกรมทางหลวงจะนำผลการศึกษาดังกล่าวมาพิจารณาประกอบเพื่อให้เหมาะสมที่สุด

อย่างไรก็ตาม ในโครงข่ายทางหลวงกว่า 50,000 กม. หากจะตรวจน้ำหนักรถบรรทุก ทุกคัน จะต้องใช้ระบบเครื่องชั่งที่สามารถชั่งน้ำหนักได้ในขณะรถวิ่ง ( WIM) 960 แห่ง ซึ่งปัจจุบันติดตั้งแล้ว 182 แห่ง อยู่ระหว่างติดตั้ง 21 แห่ง เหลืออีก 757 แห่ง ซึ่งทล.มีแผนทยอยจัดตั้งงบประมาณทุกปี โดยจะติดตั้งจุดสำคัญที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน ทั้งนี้อาจจะไม่ต้องติดตั้งให้ครบทั้งหมด โดยใช้วิธีการและมาตรการลงโทษ

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว้า ปัจจุบันมีรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป จดทะเบียนรวมกว่า 1 ล้านคัน หากแยกเฉพาะรถบรรทุกตั้งแต่10 ล้อขึ้นไปมีกว่า 4 แสนคัน ซึ่งกรมขนส่งฯได้ดำเนินการให้ติดตั้งระบบ GPS Tracking เพื่อติดตามทั้งหมด และได้เชื่อมต่อระบบกับ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท เรียบร้อยแล้ว ส่วนตำรวจสอบสวนกลาง อยู่ระหว่างดำเนินการเชื่อมต่อระบบ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 พ.ย. 66)

Tags: , ,