มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) เปิดเผยในวันอังคาร (29 เม.ย.) ว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ในเอเชียเริ่มกลับเข้าลงทุนในตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเพิ่มการถือครองหุ้นในญี่ปุ่นและอินเดีย หลังจากปรับลดการลงทุนอย่างรวดเร็วเมื่อต้นเดือนนี้ เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่
หุ้นญี่ปุ่นและอินเดียปรับตัวโดดเด่นในช่วงที่นักลงทุนทั่วโลกเผชิญความปั่นป่วนจากความไม่มั่นใจในสินทรัพย์สหรัฐฯ โดยดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้หลังจากร่วงลงเมื่อทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ในวันแห่งการปลดปล่อย (Liberation Day) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. และยังปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยในเดือนนี้ ขณะที่ดัชนี NIFTY 50 ของอินเดียดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยปรับขึ้นกว่า 3% ในเดือนนี้
บรรดานักลงทุนคาดหวังว่าญี่ปุ่นและอินเดียจะสามารถเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ หลังรัฐบาลทรัมป์ประกาศพักการขึ้นภาษีเป็นเวลา 90 วันสำหรับประเทศส่วนใหญ่ ยกเว้นจีน
บันทึกที่มอร์แกน สแตนลีย์ ส่งให้กับลูกค้าระบุว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังเข้าซื้อหุ้นในไต้หวันด้วย โดยส่วนใหญ่เป็นการปิดสถานะขายชอร์ต แต่ยังคงลดการถือครองหุ้นในออสเตรเลียและจีน
มอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า เฮดจ์ฟันด์ได้เข้าซื้อหุ้นกลุ่มวัสดุ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมในญี่ปุ่น แต่ในจีนนั้น เฮดจ์ฟันด์กลับเทขายหุ้นออกมาหรือคาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยจะปรับตัวลง โดยบรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงในไตรมาส 2 จากผลกระทบของสงครามการค้า
สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 145% ในเดือนเม.ย. ทำให้จีนตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 125% ส่งผลให้สงครามการค้าระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 เม.ย. 68)
Tags: กองทุนเฮดจ์ฟันด์, ตลาดหุ้น