หุ้นกลุ่มพลังงาน-ถ่านหินปรับตัวขึ้น เมื่อเวลา 10.33 น. นำโดย PTTEP ปรับขึ้น 4.73% หรือเพิ่มขึ้น 6.50 บาท มาที่ 144.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,305.06 ล้านบาท
- BANPU บวก 3.54% เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มาที่ 11.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,648.07 ล้านบาท
- PTT บวก 1.92% เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มาที่ 39.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,363.73 ล้านบาท
- LANNA บวก 3.21% เพิ่มขึ้น 0.70 บาท มาที่ 22.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 256.22 ล้านบาท
- TOP บวก 1.87% เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มาที่ 54.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 638.29 ล้านบาท
- ESSO บวก 4.58% เพิ่มขึ้น 0.35 บาท มาที่ 8.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 215.87 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและถ่านหินดีดตัวขึ้นเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกลับมายืนเหนือ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลอีกครั้ง
เมื่อคืนนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. พุ่งขึ้น 7.69 ดอลลาร์ หรือ 8% ปิดที่ 103.41 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค.57 และเป็นการพุ่งขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.63 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 8 ปีอีกครั้ง จากความกังวลว่ารัสเซียใช้ปฏิบัติการทางทหารบุกโจมตียูเครนจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
นายอภิชาติ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หุ้นหลายตัวในกลุ่มพลังงานและถ่านหิน ถือว่าปรับตัวขึ้นมาจนเต็มมูลค่าแล้ว ยกเว้นหุ้นบมจ.ปตท.(PTT) โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 44 บาท
ด้าน บล.เคทีบี เอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลกระทบจากการทำสงครามของรัสเซีย และการประกาศคว่ำบาตร (sanction) รัสเซียในด้านต่างๆ (ไม่รวมการส่งออกพลังงาน) หลังจากเข้าโจมตียูเครน ทำให้ประเทศต่าง ๆ และบริษัทคู่ค้าหลีกเลี่ยงที่จะทำธุรกรรมกับรัสเซีย เนื่องจากเกิดความยุ่งยากในการทำธุรกรรมทางการเงินและความกังวลต่อความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะถูกsanction เพิ่มเติมในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทพลังงานชั้นนำ เช่น Exxon Mobil Corp, BP Plc และ Royal Dutch Shell Plc ประกาศถอนตัวจากการลงทุนเพิ่มเติมในรัสเซีย ขณะเดียวกัน น้ำมันดิบของรัสเซียก็ถูกขายที่ราคาส่วนลด (deep discount) อย่างมากจากเหตุการณ์นี้
ขณะที่สหรัฐฯ และ IEA เตรียมปล่อยน้ำมันดิบสำรอง 60 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ในการประชุมของ สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เมื่อวานนี้ (1 มี.ค.65) ได้ข้อตกลงว่าสหรัฐและประเทศสมาชิก IEA จะระบายสำรองน้ำมันดิบออกมา 60 ล้านบาร์เรล โดยประมาณครึ่งหนึ่งจะมาจากสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงเดือน พ.ย.64 สหรัฐได้มีการประกาศระบายน้ำมันสำรอง 50 ล้านบาร์เรล
Implication เรามีมุมมองเป็นบวกต่อราคาน้ำมันในระยะสั้น โดยเชื่อว่าแม้จะไม่มีการ sanction การส่งออกพลังงานของรัสเซียโดยตรง แต่ก็ส่งผลต่อ trade flow ทำให้คู่ค้าหลีกเลี่ยงซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย และทำให้เกิดอุปทานชะงักชะงัน (supply shortage) ของน้ำมันดิบโลก
ทั้งนี้ เชื่อว่าการปล่อยน้ำมันดิบสำรองที่ 60 ล้านบาร์เรล ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20 วันของการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย จะมีผลกระทบจำกัด ราคาน้ำมันดิบ Brent วานนี้ปิดบวก 4% เป็น 105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี ค.ศ.2014 นอกจากนี้ เราเชื่อว่าที่ประชุม OPEC+ ในคืนนี้ (2 มี.ค.65) จะยังคงมติทยอยการปรับเพิ่มกำลังน้ำมันดิบที่ 400 พันบาร์เรลต่อวัน ในเดือน เม.ย.ต่อไป เรายังคงน้ำหนักการลงทุน “Neutral” สำหรับกลุ่มพลังงาน
top pick ให้ PTTEP (ซื้อ/เป้า 150.00 บาท) และชอบหุ้นโรงกลั่น เชื่อว่า PTTEP จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/65 และแนวโน้มปริมาณยอดขายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการรับรู้โครงการใหม่ และ M&A ในอีก 2 ปีข้างหน้า
TOP (ซื้อ/เป้า 70.00 บาท) และ SPRC (ซื้อ/เป้า 11.50 บาท) เชื่อว่าโรงกลั่นจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่สูงในไตรมาส 1/65
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 มี.ค. 65)
Tags: BANPU, ESSO, LANNA, PTT, PTTEP, TOP, ถ่านหิน, น้ำมัน, พลังงาน, ราคาน้ำมัน, หุ้นไทย